คำว่า Business Acumen หลายท่านอาจยังไม่คุ้นเคย สาเหตุก็เพราะคำนี้เพิ่งถูกนำมาใช้ในวงการธุรกิจเมื่อประมาณ 1-2 ปี ที่ผ่านมานี้เอง ถ้าจะแปลเป็นภาษาไทย ก็น่าจะใช้คำว่า “ปฏิภาณทางธุรกิจ” ซึ่งผมขอให้นิยามว่า “ความสามารถในการตัดสินใจในทางธุรกิจที่ก่อให้เกิดผลกำไร ได้อย่าง ถูกต้อง รวดเร็ว ทันเหตุการณ์ โดยมีพื้นฐานที่มาจากความรู้ ความสามารถ และประสบการณ์ ของผู้ตัดสินใจนั้นเอง”
จากนิยามข้างต้น ผมให้ความสำคัญกับ “การก่อให้เกิดผลกำไร” เป็นอันดับแรก ทั้งนี้ไม่ใช่เพราะ เห็นแก่ผลประโยชน์เป็นที่ตั้ง แต่เราต้องยอมรับความจริงว่า มนุษย์ทุกคนทำงานเพื่อแลกกับค่าตอบแทนเลี้ยงชีพ ไม่ว่าจะมาในรูปของ ผลกำไรจากการทำธุรกิจ (ลงทั้งเงินและเหงื่อ) ดอกผลจากการลงทุน (ลงแต่เงิน) หรือ เงินเดือน (ลงแต่เหงื่อ)
คนที่ได้ผลตอบแทนในรูปของเงินเดือนนี่เอง ที่เป็นประชากรส่วนใหญ่ของแต่ละสาขาวิชาชีพ และยังเป็นกลุ่มคนที่มีภูมิคุ้มกันจากความผันผวนของธุรกิจมากที่สุด ทำไมถึงเป็นเช่นนั้น??? ก็เพราะไม่ว่าธุรกิจจะขายได้มากหรือน้อย กำไรหรือขาดทุนเท่าใดในแต่ละเดือน ตราบใดที่บริษัทยังไม่ประสบปัญหาขาดสภาพคล่องหรือล้มละลาย มนุษย์เงินเดือนย่อมได้รับเงินเดือนอยู่อย่างสม่ำเสมอต่อเนื่อง (หลายท่านอาจแย้งว่า บางครั้งก็ถูกลดเงินเดือน หรือ จ่ายเงินเดือนช้า แต่อย่าลืม!!! ท่านมีทางเลือกว่าจะทำงานกับบริษัทเช่นนี้หรือไม่ และที่สำคัญ ต้นทุนในการเปลี่ยนงาน ก็ไม่ได้สูงเหมือนต้นทุนในการเปลี่ยนหรือเลิกธุรกิจ)
ด้วยเหตุดังกล่าวข้างต้นนี้เอง ทำให้มนุษย์เงินเดือนหลายคน ไม่ได้ตระหนักถึงการสร้างผลกำไรให้กับบริษัทอย่างที่ควรจะเป็น เพราะอาจคิดว่าไม่ใช่หน้าที่ของตน ซึ่งถ้าทุกคนได้คิดทบทวนในมุมมองของผู้ประกอบการแล้ว ก็จะมองเห็นว่า ทุกบาท ทุกสตางค์ ที่จ่ายไปในเพื่อซื้อ สินทรัพย์ วัตถุดิบ วัสดุสิ้นเปลืองต่างๆ หรือ จ่ายเป็น เงินเดือน ค่าจ้าง ค่าแรง สวัสดิการ รวมไปถึง ค่าฝึกอบรมพนักงาน ค่าใช้จ่ายในการสร้างระบบงาน ค่าใช้จ่ายเพื่อระบบเทคโนโลยีสาระสนเทศ หรือค่าใช้จ่ายในการจ้างที่ปรึกษาต่างๆ ก็ล้วนเป็น “การลงทุน” เพื่อให้ได้ผลตอบแทนกลับมาในรูปของ “กำไร”
ดังนั้นองค์กรจึงควรมีการพัฒนาและปลูกฝัง Business Acumen ให้แก่พนักงานในทุกระดับ เพื่อให้เกิดความตระหนักว่า บริษัทนั้นสร้างรายรับได้อย่างไร มีปัจจัยใดบ้างที่ส่งผลกระทบต่อการทำกำไร สินทรัพย์ต่างๆ ถูกใช้ให้เป็นประโยชน์มากน้อยเพียงใด รวมทั้งการทำงานและการตัดสินใจที่เกิดขึ้นประจำวันนั้น มีผลกระทบต่อความสำเร็จขององค์กรอย่างไร ซึ่งทั้งหมดนี้อาจสรุปรวมเรียกว่า ความรู้พื้นฐานในด้านการเงิน (Financial Literacy) นั่นเอง

ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น