การจัดการสภาพคล่องคือ การบริหารเงินสดให้เพียงพอต่อการดำเนินธุรกิจ และถือเป็นลมหายใจของธุรกิจ เพราะ บริษัทที่ขาดทุนหากไม่ขาดสภาพคล่องก็ยังอยู่ได้ ตราบเท่าที่บริษัทยังสามารถหาเงินสดมาจ่ายหนี้เมื่อถึงกำหนดชำระได้ ไม่ว่าจะมาจาก การเพิ่มทุน หรือ การกู้ยืมจากตลาดเงิน เช่น เงินกู้จากสถาบันการเงิน เงินกู้จากสาธารณะชน (โดยการออกหุ้นกู้ในกรณีที่เป็นบริษัทมหาชน) เงินกู้จากบุคคล เช่น จากกรรมการบริษัท จากลูกค้า (เงินจ่ายล่วงหน้า) จากคนรู้จัก หรือ เงินกู้นอกระบบ และในกรณีที่ถึงที่สุด เมื่อบริษัทไม่สามารถหาเงินสดมาชำระหนี้ได้ทันกำหนด หากสามารถผัดผ่อนการชำระหนี้ได้ บริษัทก็ยังดำเนินกิจการต่อไปจนกระทั่งเมื่อมีรายรับเข้ามาชำระหนี้ได้ภายในเวลาอันสมคร
อย่างไรก็ดี ทั้งหมดที่กล่าวข้างต้น เป็นการแก้ปัญหาที่ปลายเหตุ ในการป้องกันปัญหานั้น ผู้บริหารควรทำความเข้าใจกับต้นเหตุของการขาดสภาพคล่อง ซึ่งนอกจากการขาดทุนสะสมแล้ว ยังเกิดจากสาเหตุดังต่อไปนี้
o ภาวะกดดันต่อรายได้ เช่น ตลาดหดตัว สงครามราคา ขาดความได้เปรียบในการแข่งขัน การทุ่มตลาด สินค้าทดแทน ฯลฯ
o ขาดการบริหารที่ดี เช่น การขยายธุรกิจเร็วเกินไป ขาดการวางแผนการส่งเสริมการขายที่ดี ขาดการบริหารลูกหนี้ที่ดี (เก็บหนี้ได้ช้าหรือเก็บไม่ได้) ขาดการบริหารต้นทุนที่มีประสิทธิภาพ (วัตถุดิบ ค่าแรง ค่าใช้จ่ายขายและบริหาร) ขาดการบริหารสินค้าคงคลังที่รัดกุม ขาดการเจรจาต่อรองที่ดีกับคู่ค้า ขาดการสร้างสัมพันธ์อันดีกับธนาคาร จัดหาแหล่งเงินทุนที่ไม่สัมพันธ์กับการใช้จ่าย (เช่นนำเงินกู้ระยะสั้นไปลงทุนในสินทรัพย์ถาวร) ขาดการทำประมาณการกระแสเงินสด ขาดข้อมูลที่จำเป็นต่อการตัดสินใจฯลฯ
o เหตุการณ์ที่นอกเหนือความความคุม เช่น วัตถุดิบขึ้นราคาผิดปกติ ธนาคารปรับลดวงเงินสินเชื่อ อุบัติเหตุ ภัยธรรมชาติ โจรกรรม การทุจริต สูญเสียชื่อเสียง คู่ค้าล้มละลาย สินค้าลอกเลียนแบบ การเปลี่ยนแปลงของกฎหมาย การเมือง นโยบายรัฐ เทคโนโลยี พฤติกรรมผู้บริโภค ฯลฯ
ในการป้องกันปัญหาสภาพคล่องนั้น สามารถทำได้โดยคาดการณ์ก่อนที่จะเกิดปัญหาและเตรียมมาตรการเพื่อรองรับ ดังต่อไปนี้
o เงินสด : สำรองเงินสดไว้อย่างสมเหตุผล, ลงทุนเพื่อให้เกิดดอกผลได้แต่ต้องคำนึงถึงสภาพคล่อง
o ลูกหนี้ : ประเมินเครดิตลูกหนี้อย่างรอบคอบ สม่ำเสมอ, ขอหลักประกันการชำระหนี้ถ้าเป็นไปได้, จัดเก็บข้อมูลลูกหนี้อย่างครบถ้วนรวมถึงระเบียบการวางใบแจ้งหนี้และรับเช็ค, วางใบแจ้งหนี้แต่เนิ่น, ติดตามหนี้ที่ครบกำหนดอย่างสม่ำเสมอ , จ่ายค่าคอมมิชชั่นให้ผู้แทนขายต่อเมื่อเก็บหนี้ได้, ทำเรื่องการรับชำระเงินแบบหักบัญชีอัตโนมัติ, ให้ส่วนลดเมื่อจ่ายหนี้เร็ว, จัดลำดับชั้นของลูกหนี้เพื่อสามารถบริหารที่มีประสิทธิภาพ ฯลฯ
o สินค้าคงคลัง : จัดเก็บสินค้าคงคลังตามความเหมาะสมเช่น เก็บที่ส่วนกลาง กระจายตามคลังย่อย ใกล้แหล่งผลิต หรือ ใกล้ตลาด, วางแผนจัดซื้อ, ใช้จำนวนสั่งซื้อที่ประหยัด (Economic Order Qunatity –EOQ), วางแผนการลำเลียงวัตถุดิบเข้าคลังที่สอดคล้องกับอุปสงค์และกำลังผลิต, กำหนดสต็อกสินค้าสำเร็จรูปให้เหมาะสมกับกลยุทธ์ของบริษัท, ผลักภาระให้ supplier เป็นผู้จัดเก็บ ฯลฯ
o เจ้าหนี้การค้า : จ่ายหนี้ให้เร็วกรณีได้ส่วนลด, ขอเงื่อนไขการชำระหนี้ที่สมเหตุสมผล, ชะลอการชำระหนี้โดยไม่ให้เสียเครดิต, กระจายซื้อจากคู่ค้าหลายรายป้องกันความเสี่ยง
o สินทรัพย์ถาวร : ขายหรือให้เช่าสินทรัพย์ที่ไม่ก่อให้เกิดประโยชน์, พิจารณาเงื่อนไขการ ซื้อ เช่า เช่าซื้อ อย่างรอบคอบ, ใช้สินทรัพย์ให้เกิดประโยชน์สูงสุด, ทำประกันภัย
o หนี้สิน : รักษาอัตราหนี้สินต่อทุนอย่างเหมาะสม, สร้างสัมพันธ์กับธนาคารหลายแห่ง, ใช้แหล่งเงินกู้ที่ต้นทุนต่ำก่อน, ขอวงเงินเผื่อไว้ใช้ยามฉุกเฉิน, บริหารวันครบชำระหนี้อย่างให้ตรงกัน, re-finance เมื่อเป็นประโยชน์, หาหลักประกันให้เพียงพอ
o ทุน : เตรียมทุนสำรองยามฉุกเฉิน, ยกขาดทุนสะสมมาใช้เพื่อลดภาษีในปีที่มีกำไร, ระดมทุนจากตลาดหลักทรัพย์เมื่อมีโอกาส
o รายได้ : รักษาฐานลูกค้าเดิม หาตลาดใหม่ คิดเชิงสร้างสรรค์หาโอกาสใหม่ในการทำธุรกิจ
o ค่าใช้จ่าย : ทำแผนลด ชะลอค่าใช้จ่าย ศึกษาข้อกฎหมายที่เกี่ยวข้องกับการเลิกจ้าง ชดเชย
o ภาษี : วางแผนภาษีอย่างรอบคอบ, ตรวจสอบความถูกต้องของหลักฐานทางบัญชี/ใบกำกับภาษี, ขอคืนภาษีที่ชำระไว้เกิน
ทั้งนี้ ยังมีอีกหลายวิธีการในการบริหารเพื่อเพิ่มสภาพคล่อง ในภาวะที่ธุรกิจมีปัญหา การใช้สติจะช่วยในการคลี่คลายปัญหาต่างๆ ที่เกิดขึ้นได้ สุดท้ายนี้ ขอฝากข้อคิดไว้ให้ทุกท่านว่า ในที่สุดทุกปัญหาย่อมมีทางออก และการเลือกทางออกที่สุจริต และ จริงใจกับทั้งตนเองและผู้อื่น จะส่งผลให้ท่านสามารถกลับมายืนหยัดในธุรกิจอย่างสง่างามต่อไปได้ในวันข้างหน้า
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น