วันจันทร์ที่ 14 กันยายน พ.ศ. 2552

การวิเคราะห์โครงการลงทุน (Capital Budgeting) 3: IRR

ในครั้งนี้เราจะมาว่ากันต่อด้วยเรื่องของ Internal Rate of Return (IRR) หรืออัตราผลตอบแทนภายใน ซึ่งเป็นอีกทางเลือกหนึ่งในการใช้วิเคราะห์การลงทุนที่เป็นที่นิยมไม่แพ้วิธี Net Present Value (NPV) หรือ การหามูลค่าปัจจุบันสุทธิ

ทั้งสองวิธีดังกล่าวมีหลักการพื้นฐานเดียวกันคือให้ความสำคัญกับค่าของเงินตามเวลา ซึ่งแปลว่ากระแสเงินสดจำนวนเดียวกันที่เกิดขึ้น ณ เวลาต่างกันนั้น ย่อมมีค่าไม่เท่ากัน ซึ่งวิธีการคำนวณด้วย NPV จะใช้อัตราคิดลด (discount rate) หรือจะเรียกว่าเป็นต้นทุนค่าเสียโอกาสของเงินทุนก็ได้ ซึ่งเป็นค่าที่ถูกกำหนดขึ้น (หรือเกิดจากการคำนวณต้นทุนเงินจากแหล่งต่างๆ ทั้งเจ้าของและเจ้าหนี้ แล้วนำมาถัวเฉลี่ยถ่วงน้ำหนัก ซึ่งจะได้ กล่าวถึงในโอกาสต่อไป) แล้วนำมาใช้ในคิดลดกระแสเงินสด โดยการหารกระแสเงินสดที่เกิดขึ้นในแต่ละปีด้วย (1+ r)n ซึ่งในที่นี้ r คืออัตราคิดลด และ n คือระยะเวลา (ปี)

ยกตัวอย่าง การคำนวณผลตอบแทนโครงการที่มีต้นต้นทุนค่าเสียโอกาส 10% ซึ่งมีการลงทุนครั้งแรกเท่ากับ 100 และได้รับผลตอบแทนในปีต่อมาเป็นจำนวน 20,30,35,40 ตามลำดับ

ปัจจุบัน

สิ้นปีที่ 1

สิ้นปีที่ 2

สิ้นปีที่ 3

สิ้นปีที่ 4

1. กระแสเงินสด

-100

20

30

35

40

2.สูตรของตัวหาร

(1+0.1)0

(1+0.1)1

(1+0.1)2

(1+0.1)3

(1+0.1)4

3. ค่าของตัวหาร

1

1.1

1.21

1.33

1.46

4. มูลค่าปัจจุบัน(1)/(3)

-100

18.18

24.79

26.30

27.32

จะเห็นได้ว่าผลรวมของมูลค่าปัจจุบัน หรือ กระแสเงินสดสุทธิ (Net Present Value) มีค่าเท่ากับ -100 + 18.18 + 24.79 + 26.30 + 27.32 = -3.41 ซึ่งผลติดลบที่เกิดขึ้นจะทำให้เราตัดสินใจไม่ลงทุนเพราะมูลค่ากระแสเงินสดสุทธิไม่สามารถชดเชยกับต้นทุนค่าเสียโอกาส 10% ที่เกิดขึ้นได้ แต่ถ้าไม่คำนึงถึงค่ามูลค่าปัจจุบันเลย จะคำนวณได้ว่ามีกำไรเท่ากับ -100 + 20 + 30 + 35 + 40 = 25

ถ้าถามว่า NPV ต้องมีค่าเท่าใดจึงจะตัดสินใจลงทุน คำตอบก็คือมากกว่าหรือเท่ากับ 0 ครับ ส่วนจะมากกว่าเท่าไรนั้นก็ถือเป็นกำไรส่วนเกิน เพราะการที่ผลตอบแทนทำให้ NPV = 0 นั้น แปลว่าได้ทุนคืน และ ได้ผลตอบแทนจากการลงทุนตามที่ต้องการหรือคุ้มกับค่าเสียโอกาสแล้วนั่นเอง

ในกรณีที่เราไม่แน่ใจขึ้นว่าต้นทุนค่าเสียโอกาสของเราเป็นเท่าไรแน่ (แต่อาจมีตัวเลขอยู่ในใจบ้างแล้ว) วิธีการ IRR จะช่วยให้เราตัดสินใจได้ง่ายขึ้น กล่าวคือ IRR จะเป็นอัตราคิดลดที่ทำให้ NPV = 0 ซึ่งแปลความว่าอัตราคิดลดที่คำนวณได้คืออัตราผลตอบแทนภายในของโครงการลงทุนนั้นๆ ลองพิจารณาตัวอย่างเดิม

ปัจจุบัน

สิ้นปีที่ 1

สิ้นปีที่ 2

สิ้นปีที่ 3

สิ้นปีที่ 4

1. กระแสเงินสด

-100

20

30

35

40

2.สูตรของตัวหาร

(1+r)0

(1+r)1

(1+r)2

(1+r)3

(1+r)4

สมการคือ -100/(1+r)0 + 20/(1+r)1 + 30/(1+r)2 + 35/(1+r)3 + 40/(1+r)4 = 0

ถอดสมการหาค่า r จะได้เท่ากับ -1.3% การคำนวณด้วยเครื่องคิดเลขอาจจะยากเกินไป ซึ่งเราสามารถทำได้ง่ายๆ โดยใช้ function ในโปรแกรม EXCEL “= IRR(เลือกเซลล์ 5 เซลล์ที่ติดกันซึ่งบรรจุค่า -100,20,30,35,40)” ซึ่งเมื่อได้ค่า IRR ออกมาแล้ว ก็นำมาเทียบกับผลตอบแทนจากการลงทุนที่เราต้องการ ในที่นี้ถึงแม้ว่าเราไม่แน่ใจว่าเป็นเท่าใด แต่ด้วยค่า IRR ที่ติดลบ ก็ทำให้ตอบได้ว่าไม่ควรลงทุนในโครงการนี้

ลองทบทวนดูนะครับ แล้วจะพบว่าการทำความเข้าใจกับ NPR และ IRR ไม่ใช่เรื่องยากอย่างที่คิด

วันอาทิตย์ที่ 2 สิงหาคม พ.ศ. 2552

เรื่องเล่าจากฮาร์วาร์ด 2 : ว่าด้วยความเข้มข้นในการเรียน

คราวนี้มาว่ากันถึงเรื่องความเข้มข้นในการเรียนที่ Harvard Business School ต่อครับ เริ่มต้นก่อนที่จะไปเรียน นักเรียนทุกคนจะได้รับการแจ้งชื่อ web site ของหลักสูตรที่จะไปเรียน พร้อมทั้งชื่อ login และ password เพื่อให้ download เอกสารทั้งหมดและพิมพ์ออกมาอ่านให้เสร็จทั้งหมดก่อนที่จะเริ่มหลักสูตร เพราะตารางเวลาที่มีให้ประจำวันมีเวลาว่างหลังเลิกเรียนเพียงวันละประมาณ 3-4 ชั่วโมง ซึ่งเมื่อหักเวลาทำธุระส่วนตัวประมาณ 1 ชั่วโมง รวมถึง assignment ที่ได้รับระหว่างวันแล้ว เวลาที่เหลือแทบจะไม่พออ่าน case สำหรับวันรุ่งขึ้น และในช่วงเช้าหลังทำธุระและรับประทานอาหารเช้าเสร็จก็ต้องทำการประชุมกับ living group ก่อนเข้าเรียนอย่างน้อย 30-45 นาที ถ้าใครที่ไม่เตรียมตัวมาก็จะ contribute ให้กลุ่มแทบไม่ได้เลย

สำหรับผมนั้นถึงแม้จะได้แบ่งเวลาอ่าน case ล่วงหน้าอยู่หลายสัปดาห์ แต่ก็ไม่สามารถอ่านได้ทัน แต่ในที่สุด ด้วยชั่วโมงบินจากกรุงเทพถึงบอสตันนั้นยาวนานอยู่พอสมควร เวลาที่ผู้โดยสารคนอื่นหลับ ผมก็อ่านหนังสือ อาศัยงีบเป็นระยะๆ เท่านั้น ช่วงละไม่เกิน 2 ชั่วโมง ทำให้ผมอ่าน case ทั้งหมดได้ทันก่อนเริ่มต้นเรียน แต่สิ่งที่ผมพบในภายหลังก็คือ สิ่งที่อ่านมาทั้งหมด มันตีกันไปหมด จำไม่ได้ว่า case ไหน เป็น case ไหน ตัวละครชื่ออะไรบ้าง และหนักๆ เข้า บางcase ถึงกับนึกเรื่องราวไม่ออกเลยทีเดียว เป็นผลให้ผมต้องอ่าน case ทุก case ใหม่เป็นรอบสอง!

อ้าว แล้วไหนบอกว่าเวลาว่างที่มีให้ไม่เพียงพอยังไง? ก็ต้องบอกว่าถ้าตามปกติแล้วก็คงไม่พอหรอกครับ แต่ผมโชคดีที่เกิดอาการ Jet Lag ทำให้ให้ตื่นประมาณตี 3 ถึงตี 4 แทบทุกวัน ก็ได้อาศัยโอกาสใช้ช่วงเวลานั้นอ่าน case อีกวันละ 2-3 ชั่วโมง ทำให้ได้ทบทวน case ก่อนเข้าเรียนแบบสดๆ ร้อนๆ ทำให้จำได้ดีขึ้น contribute ให้กลุ่มได้มากขึ้น แต่ข้อเสียก็มีเหมือนกันครับ คือตอนค่ำ ๆจะเริ่มเงียบ ซึม ด้วยอาการง่วงนอน ซึ่งส่วนใหญ่ผมก็จะนอนประมาณ 3 ทุ่มเท่านั้น (ในห้องไม่มี TV ให้ ถ้าจะดูต้องไปที่ห้องส่วนกลางประจำกลุ่ม แต่ก็ไม่เห็นมีใครออกมาดู)

อีกประเด็นหนึ่งที่ช่วยให้นักเรียนอ่าน case ได้ดีขึ้นก็คือ อาจารย์จะได้มีการให้คำถาม guide ไว้แล้ว ว่าสิ่งที่ตัวละครใน case ปฏิบัติดีแล้วหรือไม่อย่างไร มีอะไรที่เราอยากเปลี่ยนแปลงบ้าง เพราะอะไร ซึ่งการที่ได้คิดตามไปด้วยในทุกๆ case ก็เหมือนเป็นการย่นเวลาการสร้างประสบการณ์ให้กับตัวเราเอง ได้ลองผิดลองถูก โดยไม่มีผลกระทบกับธุรกิจจริงๆ ซึ่งนี่เองที่ผมถือว่าเป็นหัวใจหลักของการเรียนที่นี่

ในห้องเรียน สิ่งที่อาจารย์ทุกคนมักจะทำเหมือนๆ กันก็คือ ขอ background ของ case จากนักเรียน ว่ามีความเป็นมาเป็นไปอย่างไร แต่วิธีที่อาจารย์เขียน background ลงบนกระดานดำนั้น จะมีการแยกหมวดหมู่ชัดเจน ว่าเป็นปัจจัยภายในหรือภายนอก เป็น กลยุทธ์หรือเป็นภารกิจทั่วไป เหล่านี้เป็นต้น จากนั้นก็จะมีการส่งเสริมให้มีการอภิปรายกันทั่วทั้งห้อง มีการให้ยกมือเลือกข้าง มีการฟังเหตุผลของเสียงข้างน้อย ซึ่งผมสังเกตว่าทุกคนมีความเต็มใจที่จะ contribute ให้กับชั้นเรียน เพื่อการเรียนรู้ของตนเองและผู้อื่น

สิ่งที่เป็นข้อสังเกตอย่างชัดเจนเมื่อในบาง class โดยเฉพาะ class ที่เป็นการสรุปนั้น อาจารย์จะใช้วิธีการ lecture ซึ่งถึงแม้จะมีความกระตือรือร้นมากเพียงใด มีการนำเสนอผลวิจัยใหม่ๆ ที่น่าตื่นตะลึงมากเพียงใด ผมกลับพบว่าความสามารถในการ lecture ที่ดีเลิศนั้น ไม่แตกต่าง จากอาจารย์จาก business school อื่นๆ เช่น Kellogg, Wharton หรือ Kenan Flagler (University of North Carolina at Chapel Hill) ที่ผมได้เคยประสบมา ดังนั้น สิ่งที่แตกต่างอย่างแท้จริง น่าจะอยู่ตรง Case Method นี่แหละครับ ที่ช่วยให้เกิดความมีชีวิตชีวา การเรียนรู้และจดจำได้อย่างดี

แต่อย่างไรก็ตาม Case Method ในมุมมองของผมนั้นก็อาจจะมีจุดอ่อนอยู่บ้างตรงที่ นักเรียนแต่ละคนอาจตีความหมายได้ไม่เหมือนกัน เกิดการซึมซับไม่เท่ากัน คนที่ contribute น้อย ก็ได้เรียนรู้แต่เพียงจากการอภิปรายของคนอื่น คนที่ contribute มากก็จะได้รับประสบการณ์และการอธิบายโดยตรงที่ช่วยปรับมุมมองที่คลาดเคลื่อนให้เข้ามาอยู่ในกระแสได้ แต่ทั้งนี้ทั้งนั้น อาจารย์หลายท่านก็ได้เคยบอกแล้วว่าคำตอบ ไม่มีผิด ไม่มีถูก แต่สิ่งสำคัญคือกระบวนการในการค้นหาคำตอบต่างหากที่สำคัญกว่าและจะช่วยเราได้ในอนาคต ซึ่งผมขอจบบทความตอนนี้ด้วยคำกล่าวจาก Albert Einstein ว่า Finding the right problems or asking the right questions is more important than finding solutions!

สวัสดีครับ

วันศุกร์ที่ 31 กรกฎาคม พ.ศ. 2552

เรื่องเล่าจากฮาวาร์ด

สวัสดีครับ ในช่วงหลังนี้บทความที่ผมเขียนลงทั้งใน Blog ของตัวเองและที่ Business Acumen ค่อนข้างจะขาดช่วงไปสักหน่อย เนื่องจากผมมีภารกิจในการกลับไปเป็นนักเรียนอีกครั้ง โดยล่าสุดผมเพิ่งกลับมาจากการเรียนในหลักสูตร Driving Corporate Performance ของ Harvard Business School ที่มหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ด ประเทศสหรัฐอเมริกา จึงขอนำประสบการณ์มาเล่าให้ทุกท่านฟัง ณ ที่นี้ครับ

หลักสูตรที่ผมไปเรียนเป็นหลักสูตรทางด้าน Financial Management สำหรับ ผู้บริหารที่มีหน้าที่เกี่ยวข้องกับการวางแผนกลยุทธ์ และการบริหารการเงินของบริษัท ซึ่งผู้ที่ไปเข้าร่วมส่วนใหญ่นั้นมีตั้งแต่ระดับ CEO, CFO, Finance Director, Strategic Planner จากองค์กรชั้นนำทั่วโลก และผู้อำนวยการหลักสูตรก็คือศาสตราจารย์ Robert Kaplan ร่วมกับ ศาสตราจารย์ Robert Simons (ซึ่งอาจารย์สาวท่านหนึ่งในหลักสูตรนี้ให้สมญานามว่า Bob & Bob Show)

เมื่อกล่าวถึงชื่อศาสตราจารย์ Robert Kaplan หลายๆ ท่านอาจคุ้นชื่อ เพราะท่านเป็นผู้ร่วมเขียนหนังสือ Balanced Scorecard, Strategy Map, Strategy-Focused Organization, Alignment, Execution Premium ฯลฯ ส่วนศาสตราจารย์ Robert Simons ก็มีผลงานเขียนหนังสือที่น่าสนใจอยู่หลายเล่มเช่น Levers of Control และ Levers of Organizational Design และอื่นๆ อีกมากมาย

ในเรื่องของเนื้อหาที่ไปเรียนมีทั้งเรื่องการ กำหนดค่านิยมหลักขององค์กร การบริหารจัดการกลยุทธ์ด้วยเครื่องมือที่สำคัญคือ Strategy Map และ Balanced Scorecard โดยนำมาใช้ในการสร้างระบบ การจัดการกระบวนการภายใน การสื่อสารและการวัดผลการปฏิบัติงาน นอกจากนี้ยังมีเรื่องของ การสร้างวัฒนธรรมองค์กร การจัดโครงสร้างองค์กร การตัดสินใจเรื่องการ Outsourcing จริยธรรม และ การบริหารความเสี่ยง ซึ่งผมจะได้ทยอยเขียนถึงเนื้อหาในหัวข้อต่างๆ ในโอกาสต่อๆ ไป

ในชั้นเรียนมีผู้บริหารเข้าเรียนทั้งหมด 48 คน จากหลากหลายประเทศทั่วโลก โดยมีคนอเมริกันประมาณ 10 คนเท่านั้น รูปแบบการจัดการเรียนการสอนนั้นนักเรียน (ผู้บริหาร) ทุกคนจะต้องเข้าไปอาศัยอยู่ในหอพักของโรงเรียนตลอดระยะเวลาการศึกษา โดยมีห้องส่วนตัวให้เหมือนโรงแรมซึ่งมีขนาดพออยู่ได้คนเดียว มีอุปกรณ์อำนวยความสะดวก และคอมพิวเตอร์ spec อย่างดีให้พร้อม และในขณะเดียวกันก็ได้จัดให้มีห้องส่วนกลางที่กว้างขวางสะดวกสบายพร้อมจอ LCD ขนาดใหญ่ เครื่องเล่น DVD ตู้เย็นและคอมพิวเตอร์ ไว้อำนวยความสะดวกไว้สำหรับการอภิปรายและทำการบ้านของกลุ่ม

วิธีการเรียนการสอนนั้นใช้ Case Method ซึ่งนักเรียนจะต้องเตรียมตัวอ่าน case ล่วงหน้าวันละ 3-4 cases และต้องมีการอภิปรายกันใน Living Group ก่อน (กลุ่มผู้บริหารที่ถูกจัดให้อยู่ในหอพักบริเวณเดียวกันประมาณ 8-9 คน โดยมาจากพื้นเพที่หลายหลาย และแทบแตกต่างกันโดยสิ้นเชิง อย่างเช่นในกลุ่มของผมมี 8 คน ซึ่งเรามาจาก 8 ประเทศและ 8 อุตสาหกรรมที่ไม่ซ้ำกันเลย) จากนั้นจึงเข้าไปทำการอภิปราย case ในห้องเรียนโดยอาจารย์ทำหน้าที่เป็น facilitator เพื่อช่วยให้เกิดการเรียนรู้จากทั้งจากอาจารย์และประสบการณ์ มุมมองของเพื่อเรียนชั้นเรียน

สิ่งที่ประทับใจผมเป็นอย่างมากคือ การที่ทางโรงเรียนได้สร้าง total experience ให้กับนักเรียน ยกตัวอย่างเช่น ในหลังจากการเรียน case ของ Ben & Jerry’s Home Made Icecream นั้น ทางโรงเรียนก็ได้จัดให้มีไอศกรีมของ Ben & Jerry’s ไว้แจกนักเรียนทุกคน หรือในกรณีของ case เรื่อง strategic outsourcing นั้น ก็ได้มีการนัดเรียนแต่เช้าเป็นพิเศษ เพื่อถ่ายทอดภาพและเสียงของตัวละครเอกที่อยู่ใน case จากประเทศอินเดีย เพื่อให้เข้าร่วมฟังการอภิปรายของนักเรียน และได้ให้ตัวละครเอก (ซึ่งเป็นผู้บริหารระดับสูง) ได้ให้ข้อคิด มุมมอง ต่างๆ ที่เกิดขึ้นกับนักเรียนด้วย (ผมสังเกตว่า ผู้บริหาร 2 คนจาก 2 บริษัทชั้นนำในประเทศอินเดียนั้น ฉลาดมากๆ ทั้งเรื่องคำพูด มุมมอง ความคิด จนผมคิดว่าเขาน่าจะมาเป็นอาจารย์สอนที่ฮาร์วาร์ดได้สบายๆ เลย) และมีอยู่ 1 case ที่ได้เชิญ CEO ของบริษัทสายส่งไฟฟ้า ชั้นนำจากประเทศแคนาดาเข้ามาร่วมรับฟังในห้องด้วย (พอดีผมนั่งอยู่ฝั่งตรงข้ามและสังเกตเห็นป้ายชื่อของเธอ ตรงกับชื่อของตัวละครใน case ในขณะที่เพื่อนๆ จำนวนมากไม่ทันสังเกต และได้อภิปรายกันอย่างเต็มที่!) พอสุดท้ายอาจารย์แนะนำว่า CEO ของบริษัทใน case มานั่งฟังอยู่ด้วย หลายคนถึงกับออกอาการตกใจกันเลยทีเดียว

อาจารย์ Kaplan ได้ถามนักเรียนอย่างติดตลกไว้ตอนหนึ่งว่า คณาจารย์ในหลักสูตรนี้เหมือนกับนักดนตรีคณะ The Beatles ตรงไหนรู้ไหม คำตอบคือ เหมือนกันตรงที่เขียนเพลงและร้องเองยังไง เพราะ case ทั้งหมดที่ใช้ในการเรียนการสอนนั้น มาจากคณาจารย์ที่สอนในหลักสูตรทั้งหมด นอกจากนี้ case ที่นำมาใช้เกินกว่าครึ่งเพิ่งเขียนเสร็จตั้งแต่ช่วงต้นปีนี้ไปจนถึงไม่กี่วันก่อนที่จะเริ่มหลักสูตรด้วยซ้ำ! จึงนับเป็นโชคดีมากๆ ที่ได้เรียนรู้ case ล่าสุด ก่อนนักเรียน MBA เสียอีก (อาจารย์บางท่านบอกว่า การนำมา case มาให้ผู้บริหารได้ถกกันก่อนนั้น ช่วยให้อาจารย์ได้มุมมองดีๆ อีกหลายอย่างในการนำไปสอนเด็ก MBA และมีอาจารย์จากสเปนท่านหนึ่งที่ผมชอบในวิธีการสอนของท่านมากๆ ถึงกับกล่าวว่า นับเป็นเรื่องดีมากๆ ที่ได้มาสอน class ของเรา โดยที่อาจารย์ไม่ต้องจ่ายสตางค์!)

เรื่องราวที่น่าสนใจยังมีอีกมาก และผมคิดว่าคงเล่าไม่หมดในตอนเดียว ดังนั้นจึงขอมานำเสนอในโอกาสต่อๆ ไปละกันนะครับ

การวิเคราะห์โครงการลงทุน (Capital Budgeting) 2 : NPV

สวัสดีครับ ในครั้งนี้เรามาต่อกันในเรื่องการวิเคราะห์โครงการลงทุน ซึ่งคราวนี้จะพูดถึงNPV ซึ่งเป็นวิธีการที่คำนึงถึง ค่าของเงินตามเวลา (Time Value of Money) ซึ่งหมายความว่าค่าของเงินจะน้อยลงตามเวลาที่เพิ่มขึ้น ด้วยสาเหตุหลักอันเนื่องมาจาก (1) ความพอใจที่จะได้รับเงินในปัจจุบันมากกว่าอนาคต (2) ค่าเสียโอกาส (3) เงินเฟ้อ (4) ความเสี่ยง ยกตัวอย่างเช่น ถ้านายจ้างบอกว่าให้เรามีสิทธิ์เลือกว่าจะรับโบนัสวันนี้ 10,000 บาท หรือ จะรอรับโบนัสตอนสิ้นปี 10,500 บาท เชื่อว่าคนส่วนมากจะเลือกรับโบนัสในวันนี้ถึงแม้ตัวเงินอาจจะน้อยกว่าที่ได้รับตอนปลายปี นั่นเป็นเพราะ (1) เราพอใจที่จะได้รับเงินในวันนี้มากกว่าตอนสิ้นปี (2) เราสามารถนำเงินที่ได้รับมาไปลงทุนเพื่อให้ออกดอกออกผลซึ่งเมื่อถึงสิ้นปีอาจมีมูลค่าเพิ่มขึ้นใกล้เคียงกับ 10,500 บาท (3) หรือเราอาจนำไปซื้อสินค้าบางอย่างที่เราต้องการ ซึ่งถ้าไม่ซื้อตอนนี้ ตอนปลายปีอาจราคาสูงขึ้นกว่านี้ และที่สำคัญ (4) เราไม่แน่ใจว่าถึงถึงสิ้นปีนายจ้างจะสามารถจ่ายโบนัสเรา 10,500 บาทได้จริงหรือไม่

เมื่อเราเข้าใจหลักการเรื่องค่าของเงินตามเวลาแล้ว คราวนี้ก็มาถึงเรื่องการวิเคราะห์การลงทุนด้วยวิธี Net Present Value (NPV) ซึ่งก็เป็นการนำกระแสเงินสดทั้งรับและจ่ายที่เกิดขึ้นต่างกรรมต่างวาระมาหักกลบลบกัน โดยมีการ คิดลด (discount) กระแสเงินสดที่เกิดขึ้น ณ เวลาต่างๆ ในอนาคต ให้มาอยู่บนฐานเดียวกัน ณ เวลาปัจจุบัน ยกตัวอย่างเช่น มีโครงการลงทุนโครงการหนึ่งระยะเวลา 3 ปีและมีประมาณการรายรับและรายจ่ายดังต่อไปนี้

หน่วย:บาท

t= 0

(ปัจจุบัน)

t= 1

(ณ สิ้นปีที่ 1)

t= 2

(ณ สิ้นปีที่ 2)

t= 3

(ณ สิ้นปีที่ 3)

เงินสดรับ

0

105

105

105

เงินสดจ่าย

100

100

100

0

เงินสดสุทธิ

-100

5

5

105

ถ้าเราเอากระแสเงินสดทั้งหมดมารวมกันโดยไม่คำนึงถึงค่าของเงินตามเวลา เราก็จะได้

–100+5+5+105 = 15 ซึ่งแสดงว่าโครงการลงทุนให้ผลกำไรเป็นบวก 15 บาท

แต่ถ้าเราบอกว่าเงินสดที่เราะจะนำมาใช้ลงทุนในโครงการนี้เราขอยืมมาจากญาติผู้ใหญ่ที่เคยลงทุนในโครงการลักษณะนี้มาก่อน ซึ่งญาติผู้ใหญ่บอกเราว่าโครงการแบบนี้ควรจะต้องได้ผลตอบแทน 15% ต่อปี ดังนั้นจึงหมายความความว่าถ้านำเงินที่มีต้นทุน 15% จำนวน 100 บาทในวันนี้ไปลงทุน ก็จะมีค่าในอนาคตเวลาต่างๆ ดังนี้ (ใช้สมมติฐานว่านำทั้งเงินต้นและดอกผลไปลงทุนต่อในงวดถัดไป)

หน่วย:บาท

t= 0

t= 1

t= 2

t= 3

สูตร

100 (1.15)0

100 (1.15)1

100 (1.15)2

100 (1.15)3

ผลลัพธ์

100

115

132.25

152.09

ด้วยหลักการเดียวกันเราจึงนำ 15% มาใช้ในการคิดลดกระแสเงินสดที่ได้จาการประมาณการซึ่งมีวิธีการคำนวณโดยการนำพจน์ (1+r)n โดยที่ r คือ discount rate และ n คือระยะเวลา (งวด) มาเป็นตัวหาร (เป็นการคิดลดมูลค่าจากอนาคตมาเป็นมูลค่าปัจจุบัน)

t= 0

t= 1

t= 2

t= 3

เงินสดสุทธิ

-100/ (1.15)0

5/(1.15)1

5/(1.15)2

105/(1.15)3

ผลลัพธ์

-100

4.35

3.78

69.04

ปรากฏว่าเมื่อนำกระแสเงินสดทั้งหมดที่คิดลดเป็นมูลค่าปัจจุบันมารวมกัน เราจะได้ -100+4.35+3.78+69.04 = -22.83 บาท ซึ่งขาดทุน แปลว่าไม่ควรทำโครงการนี้ ดังนั้นจะเห็นได้ว่าการไม่คำนึงถึงค่าของเงินตามเวลานั้น จะส่งผลให้เราตัดสินใจในการลงทุนผิดพลาดได้ คราวหน้าเราจะมาต่อกันในเรื่องการวิเคราะห์วิธี IRR ซึ่งเป็นอีกวิธีที่นิยมไม่แพ้ NPV ครับ

วันอังคารที่ 16 มิถุนายน พ.ศ. 2552

ความคิดสร้างสรรค์ และ การสร้างนวัตกรรม

ผมได้มีโอกาสไปบรรยายเรื่องการสร้างสรรค์นวัตกรรมให้กับการนิคมอุตสาหกรรม จึงขอนำเนื้อหาบางส่วนมาถ่ายทอดไว้ที่นี้ครับ

  • ความสำเร็จในอดีตนั้นมาจากประสิทธิภาพ + ประสิทธิผล
  • ประสิทธิภาพ คือ อัตราส่วนระหว่าง input:out หรือกล่าวง่ายๆ คือ การที่ใช้ทรัพยากรน้อยกว่า (เช่น แรงงาน เงินทุน เวลา) แต่ได้ผลลัพธ์เท่าเดิม หรือการใช้ทรัพยาการเท่าเดิม แต่ได้ผลลัพธ์มากขึ้น (ปริมาณ คุณภาพ เวลาสั้นลง)
  • ประสิทธิผล คือ การที่สามารถบรรลุเป้าหมายที่ตั้งไว้ รวมไปถึงผลที่เกิดขึ้นจากการบรรลุเป้าหมาย
  • ประสิทธิภาพไม่จำเป็นต้องเกิดคู่ กับประสิทธิพลเสมอไป เช่น การทำงานบางอย่างบรรลุวัตถุประสงค์แต่ไม่มีประสิทธิภาพ ซึ่งมีตัวอย่างให้เห็นกันอยู่บ่อยๆ
  • การมีประสิทธิภาพแต่ไม่มีประสิทธิผลนั้น ผมยกตัวอย่างถึงภาพยนตร์โฆษณาของรถกระบะทาทา ซีนอน ผมถามผู้เข้าร่วมสัมมนาว่ามีใครเคยเห็นโฆษณาโทรทัศน์บาง เกือบทุกท่านตอบว่าเคย แต่พอถามว่ามีท่านใดบ้างที่เคยเห็นรถกระบะยี่ห้อนี้บนท้องถนน ปรากฏว่าแทบไม่มีผู้ใดเคยเห็น ซึ่งแสดงให้เห็นว่า เจ้าของผลิตภัณฑ์นั้นยิงโฆษณาได้อย่างมีประสิทธิภาพ ทำให้ยี่ห้อของตนเป็นที่รู้จัก แต่ไม่มีประสิทธิผลด้านยอดขาย
  • ปัจจุบันประสิทธิภาพ + ประสิทธิผลนั้น ดูจะกลายเป็นเรื่องพื้นฐานที่ทุกคนต้องมีแล้ว ใครไม่มีก็ต้องปรับปรุงตัว แต่เมื่อมีแล้วก็ไม่ได้หมายความว่าจะเป็นผู้ประสบความสำเร็จในการทำธุรกิจ
  • ดังนั้นในปัจจุบันและอนาคต ธุรกิจจะต้องแข่งขันกันด้วย ความคิดสร้างสรรค์ และ นวัตกรรม
  • ความคิดสร้างสรรค์ นั้นคือ ความคิด ส่วน นวัตกรรม นั้นคือ การกระทำอันเป็นผลผลิตมาจากความคิดสร้างสรรค์
  • ความคิดสร้างสรรค์นั้น ที่ผ่านการบ่มเพาะอย่างเหมาะสมแล้วจึงเกิดเป็นนวัตกรรมได้
  • ความคิดสร้างสรรค์จะเกิดขึ้นได้ในสภาวะแวดล้อมที่เหมาะสม เช่นเดียวกับเมล็ดพันธุ์พืช
  • การจะได้ต้นไม้งาม ซึ่งเปรียบได้กับนวัตกรรมนั้น จะต้องมีการเพาะเมล็ดพันธ์จำนวนมากๆ ไว้ก่อน จากนั้นจึงค่อยนำคัดต้นกล้าที่มีหน่วยก้าน รูปทรงดี มาบ่มเพาะดูแลเป็นพิเศษ และท้ายที่สุด อาจไม่ใช่ทุกต้นที่เจริญงอกงามออกมาเป็นต้นไม้ที่สมบูรณ์
  • ดังนั้นในการสร้างสรรค์นวัตกรรม ต้องเริ่มจากการสร้างสภาวะแวดล้อมที่เอื้อต่อการงอก ของความคิดสร้างสรรค์ก่อน ซึ่งเริ่มจาก อย่าด่วนตัดสิน อย่าขัด อย่าคันปากอยากพูด เมื่อมีใครเสนอความคิดอะไรใหม่ๆ
  • จากนั้นต้องใช้คำถามที่สร้างสรรค์เปรียบเสมือนการ รดน้ำ เช่น คุณได้ความคิดนี้มาจากไหน มันเปรียบเทียบได้กับอะไร ไหนลองเล่ารายละเอียดเพิ่มเติมให้ฟังหน่อย ควรเลี่ยงการใช้คำถามปลายปิดเช่น ใช่หรือไม่ และ คำถามที่จำกัดทางเลือก เช่น A หรือ B หรือ C
  • ในขั้นตอนระดมความคิด ปริมาณ สำคัญกว่า คุณภาพ เพราะความคิดใดๆ ก็ตามที่แสดงออกมา อาจเกิดการต่อยอดขึ้นมาเป็นความคิดใหม่ๆ ก็ได้ ทั้งๆ ที่ครั้งแรกอาจฟังแล้วไม่เข้าท่า หรือ ไม่น่าเป็นไปได้
  • ดังนั้นผู้เสนอความคิด จงอย่ากลัวเด่น อย่ากลัวเป็นตัวตลก อย่ากลัวถูกมองว่าโง่ แต่ขอให้มองว่าการระดมสมองไม่มีผิดมีถูก ซึ่ง ผมยกตัวอย่างเพลง หมีแพนด้า ที่ผู้แต่งนำไปเสนอค่ายเพลงแล้วไม่มีใครเอา เพราะฟังแล้วดูตลก ไม่น่าเป็นไปได้ ผู้แต่งจึงตัดสินใจร้องเอง ต่อมากลายเป็นเพลงที่ดังระเบิดใครๆ ก็รู้จัก
  • อีกตัวอย่างหนึ่งผมเอาภาพ George Bush ซึ่งส่องดูกล้องส่องทางไกล โดยที่ปลายอีกด้านหนึ่งยังไม่ได้เปิดฝาครอบเลนส์ออก ซึ่งดูแล้ว stupid ซึ่งทำให้ผู้เข้าร่วมสัมมนาทุกคนอมยิ้มบ้าง หัวเราะบ้าง
  • ผมถามว่า ถ้าผมเห็นภาพนี้แล้วจินตนาการถึงกล่องส่องทางไกลกำลังขยายมหาศาลที่ถูกติดตั้งอยู่บนหอรบ ใครจะดูต้องเดินขึ้นไปบนหอ ขึ้นแท่นเหยียบเพื่อไปดู แต่กลับกลายเป็นว่ากล้องนี้สามารถส่งสัญญาณภาพด้วยคลื่นโทรทัศน์มาเข้ากล้องส่องทางไกลขนาดกะทัดรัดแบบที่ Bush ถืออยู่ โดย Bush สามารถควบคุมกล้องขนาดมหึมานั้นด้วยปลายนิ้วผ่านจอขนาดเล็กที่อยู่ในกล้องส่องทางไกลล่ะ => ผู้เข้าร่วมสัมมนาทุกคน อึ้งไปชั่วขณะ !
  • ผมจึงชี้ให้เห็นว่า ในขั้นตอนระดมสมองนี้ ไม่ควรจะตัดสินทันทีทันใด ว่าอะไรดี ไม่ดี เป็นไปได้หรือไม่ได้ แต่ต้องพยายามทำให้เมล็ดพันธุ์ความคิดสร้างสรรค์งอกให้ได้มากที่สุดก่อน
  • จากนั้นจึงค่อยนำมาคัดโดยดูความเป็นไปได้ ซึ่งก็ต้องไม่ด่วนตัดสินเช่นกัน อีกทั้งต้องไม่ใช้อารมณ์ แต่ใช้คำถามเพื่อหาสมมติฐานที่ซ่อนอยู่ว่าทำไมถึงจะเป็นไปได้ เพราะอะไรถึงเป็นไปไม่ได้
  • จากนั้นจึงค่อยนำความคิดสร้างสรรค์ที่ผ่านการกลั่นกรองแล้วมาบ่มเพาะต่อเป็นนวัตกรรม ซึ่งจะว่าไปแล้วก็เปรียบเสมือนโครงการวิจัยของนักวิทยาศาสตร์ ที่เริ่มต้นจากสมมติฐาน (ไอเดีย) จากนั้นต้องมีการขอทุนวิจัย (ทรัพยากรต่างๆ ) จากผู้สนับสนุน (sponsor) เพื่อมาทดลองและพิสูจน์สมมติฐานนั้น และนำความรู้มาต่อยอดใช้ได้จริง
  • ดังนั้นความหมายอีกนัยหนึ่งของนวัตกรรมนั้น น่าจะมาจาก Invention + Application หรือ Commercialization กล่าวคือ ประดิษฐ์คิดค้นอะไรขึ้นมาแล้ว จะต้องใช้ประโยชน์ได้ด้วย มิเช่นนั้นก็เป็นได้เพียงสิ่งประดิษฐ์ของนักวิทยาศาสตร์สติเฟื่องซึ่งไม่ได้มีประโยชน์ใดๆ มากนัก

เนื้อหาการบรรยายในครั้งนั้นยังมีประเด็นอีกมากมาย ซึ่งผมจะนำมาเล่าให้ฟังต่อในโอกาสต่อไปครับ

การทำเรื่องยากด้วยความอุตสาหะ ถือเป็น การอุทิศตน แต่ การทำให้เรื่องยากให้เป็นเรื่องง่าย ถือเป็น นวัตกรรม

วันจันทร์ที่ 4 พฤษภาคม พ.ศ. 2552

การวิเคราะห์โครงการลงทุน (Capital Budgeting)

ในการดำเนินธุรกิจใดๆ สิ่งสำคัญที่ผู้บริหารจะต้องตัดสินใจ คือองค์กรควรจะลงทุนในโครงการใด องค์กรอาจมีโอกาสลงทุนในหลายๆ โครงการพร้อมกัน แต่ด้วยทรัพยากรจำกัดนั้น ทำให้ไม่สามารถลงทุนได้ในทุกโครงการ ดังนั้น จึงต้องมี การเลือกลงทุน ในโครงการ ที่ให้ผลตอบแทนมากที่สุด ภายใต้ทรัพยากรที่จำกัด ซึ่งอาจลงทุนได้เพียง 1 โครงการ หรือ มากกว่านั้น ในกรณีที่สามารถเลือกลงทุนได้เพียง 1 โครงการ ถ้าเกิดความผิดพลาด อาจหมายถึง การสูญสลายขององค์กร ดังนั้น การวิเคราะห์โครงการลงทุน จึงถือเป็นกระบวนการที่สำคัญในเชิงกลยุทธ์ ที่ส่งผลต่อ ความอยู่รอด ตลอดจนถึง ความเจริญก้าวหน้าขององค์กร

คำว่า โครงการลงทุนที่กล่าวถึงนี้ มีขอบเขตกว้างขวาง เป็นไปได้ทั้ง โครงการลงทุน ในเทคโนโลยีเครือข่าย ของ บริษัทโทรคมนาคม หรือ โครงการซื้อที่ดินและก่อสร้างอาคาร เพื่ออยู่อาศัยและการพาณิชย์ ของ บริษัทพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ หรือ โครงการซื้อเครื่องจักรเพื่อการผลิต ของ โรงงาน หรือ โครงการแนะนำผลิตภัณฑ์ใหม่ออกสู่ตลาด ของบริษัทจำหน่ายสินค้าอุปโภคบริโภค

ไม่ว่าโครงการลงทุนจะเป็นรูปแบบใดหรือมีขนาดการลงทุนเท่าใดก็ตาม จะต้องมีการวิเคราะห์อย่างถี่ถ้วน ผู้เขียนจึงขอให้นิยามว่า การวิเคราะห์โครงการลงทุน คือ กระบวนการวิเคราะห์ข้อมูล ซึ่งนำไปสู่การตัดสินใจในการลงทุนในสินทรัพย์ (ไม่ว่าจะเป็นสินทรัพย์ระยะสั้นหรือระยะยาว จับต้องได้หรือจับต้องไม่ได้)ที่มีผลกระทบต่อผลประกอบการขององค์กรในอนาคต ซึ่งแนวคิดในการวิเคราะห์โครงการลงทุนนั้นเป็นการพิจารณาถึงความคุ้มค่าในทางเศรษฐกิจที่เกิดขึ้น ไม่ว่าจะลงทุนด้วยทรัพยากรใดทั้ง เงินทุน เวลา ปัญญา แรงงาน

วิธีการวิเคราะห์โครงการที่เป็นที่นิยมนั้นมีอยู่หลายวิธีเช่น การพิจารณาจุดคุ้มทุน (Payback Period), มูลค่าปัจจุบันสุทธิ (Net Present Value), อัตราผลตอบแทนภายใน (Internal Rate of Return) เป็นต้น

การพิจารณาจุดคุ้มทุน (Payback Period)

  • มักเป็นคำถามแรกสุด เมื่อพิจารณาโครงการใดๆ กล่าวคือ ผู้ลงทุนอยากรู้ว่าภายหลังจากดำเนินโครงการแล้ว กี่ปีจึงจะได้ทุนคืน ยกตัวอย่างเช่น ลงทุน 10 ล้านบาทและคาดการณ์กำไรสุทธิปีละ 3 ล้านบาท แสดงว่าโครงการนี้คืนทุนใน 3 ปี 4 เดือน (คำนวณว่า 4 เดือนได้กำไร 1 ล้านบาท ดังนั้นจะได้ทุนคืนใน 40 เดือน)

  • วิธีการนี้มีข้อดีคือ คำนวณได้ง่าย เร็ว โดยส่วนใหญ่ถ้าโครงการมีลักษณะคล้ายๆ กัน นักลงทุนมักจะเลือกโครงการที่มีจุดคุ้มทุนสั้นกว่า เพราะนั่นหมายถึง ความเสี่ยงที่ลดลง มีเงินสดคืนเข้ามาเร็วกว่าสามารถนำเงินมาเพิ่มสภาพคล่องให้กับโครงการ หรือนำไปลงทุนอย่างอื่นต่อได้อีก

  • ข้อเสียนั้นก็มีมากเช่นกัน กล่าวคือ
    • ไม่ได้คำนึงถึงสมมติฐานที่สำคัญทางการเงินคือ เรื่องของค่าของเงินตามเวลา (Time Value of Money) ยกตัวอย่างง่ายๆ คือ เงิน 1 ล้านบาท ณ วันนี้ ย่อมมีค่าไม่เท่ากับ 1 ล้านบาทในปีหน้า (เนื่องด้วยอัตราดอกเบี้ย และ ราคาสินค้า บริการต่างๆ ที่สูงขึ้น)
    • กระแสเงินสดรับมักไม่ได้เกิดขึ้นสม่ำเสมอตลอดระยะเวลาโครงการ อาจมีเรื่องของวงจรธุรกิจ หรือ ฤดูกาลเข้ามาเกี่ยวข้อง
    • ไม่ได้คำนึงว่าหลังจากผ่านจุดคุ้มทุนแล้ว จะมีกระแสเงินสดรับเข้ามาอีกมากน้อยเพียงใด

อย่างไรก็ดี วิธีการนี้ก็ยังเป็นที่ยอมรับ แต่มักใช้ประกอบการตัดสินใจควบคู่ไปกับวิธีการอื่นๆ สำหรับการวิเคราะห์โครงการโดยวิธี มูลค่าปัจจุบันสุทธิ (Net Present Value) และ อัตราผลตอบแทนภายใน (Internal Rate of Return) นั้น จะได้นำเสนอรายละเอียดในคราวต่อไปครับ

วันศุกร์ที่ 17 เมษายน พ.ศ. 2552

การจัดการโครงสร้างเงินทุน (2)

ต่อเนื่องจากบทความก่อนหน้านี้ครับ


ดังที่ได้แสดงให้เห็นแล้วว่า การก่อหนี้จะสามารถสร้างความมั่งคั่งให้กับเจ้าของได้ เนื่องจาก ต้นทุนเงินของหนี้ (ดอกเบี้ยเงินกู้) มักจะต่ำกว่าอัตราผลตอบแทนที่เจ้าของต้องการ


นึกถึงตัวอย่างง่ายๆ ถ้าเราลงทุนในธุรกิจหนึ่งอยู่ ซึ่งเรารู้ว่าธุรกิจนี้ดี หรือ กำลังจะไปได้ดี แต่ขณะนี้ต้องการเงินเพื่อนำมาเสริมสภาพคล่อง หรือ เพื่อขยายกิจการ เราจะเลือก กู้ยืม หรือ หาผู้ลงทุนเพื่อร่วมทุน? แน่นอนว่า ถ้าธุรกิจจะดี เราคงไม่อยากได้ผู้ร่วมทุนมา "แชร์" ผลตอบแทนกับเรา แต่เราคงเลือกที่จะกู้ยืมเงินจากเจ้าหนี้ ที่เรียกผลตอบแทนในรูปของดอกเบี้ยแทน


เพราะฉะนั้น ในทางทฤษฏี การก่อหนี้เพื่อทำ Financial Leverage เพื่อสร้างความมั่งคั่งให้กับเจ้าของมากขึ้น จึงเป็นสิ่งที่พึงประสงค์สำหรับทุกธุรกิจ หรือ ด้วยตรรกะเดียวกันนี้ ยิ่งก่อหนี้มากขึ้นเท่าใด ก็จะยิ่งสร้างความมั่งคั่งให้กับเจ้าของมากขึ้นเท่านั้น (ยิ่งถ้าไม่ต้องใช้เงินทุนของตัวเองเลย ก็คือการ "จับเสือมือเปล่า" นั่นเอง) แต่ทั้งหมดนี้ คือข้อเท็จจริงเพียงครึ่งเดียว เพราะต้องไม่ลืมว่า ยิ่งก่อหนี้สูง ยิ่งมีความเสี่ยงเพิ่มขึ้น (จากการที่มีภาระดอกเบี้ยสูงขึ้น นำไปสู่ความเสี่ยงจากการผิดนัดชำระหนี้ และการขาดสภาพคล่อง) ดังนั้น เมื่อสัดส่วนหนี้สูงขึ้น เจ้าหนี้ก็ต้องแบกรับความเสี่ยงมากขึ้น และเพื่อชดเชยกับความเสี่ยงที่เพิ่มขึ้นนั้น เจ้าหนี้ ก็จะต้องเรียกอัตราดอกเบี้ยที่สูงขึ้น ซึ่งแปลว่า การก่อหนี้สูงขึ้น จะไม่ได้สร้างความมั่งคั่งสูงขึ้นอีกต่อไป


พิจารณาต้นทุนของเงินที่นำมาใช้ในกิจการดังนี้


เงินทุนในการดำเนินการ = หนี้สิน + ส่วนของเจ้าของ

และ

อัตราผลตอบแทนที่ต้องการของเงินลงทุน (ต้นทุนเงิน) = อัตราผลตอบแทนถัวเฉลี่ยถ่วงน้ำหนักของ หนี้สิน และ ส่วนของเจ้าของ

หรืออีกนัยหนึ่ง

Weighted Average Cost of Capital (WACC) = (Wd * rd)(1-T) + (We * re)

โดยที่
  • Wd คือ สัดส่วนเงินทุนจากหนี้สินในเงินลงทุนทั้งหด
  • We คือ สัดส่วนเงินทุนจากเจ้าของในเงินลงทุนทั้งหมด
  • Wd + Wd = 100%
  • rd คืออัตราดอกเบี้ยเงินกู้
  • re คืออัตราผลตอบแทนที่เจ้าของต้องการ (แล้วแต่เจ้าของกำหนด เช่น 10%, 12%, 15%)
  • T คืออัตราภาษีเช่น 30% (ซึ่งจะเห็นว่าภาษีนี้เองที่จะทำให้ ต้นทุนเงินในส่วนของหนี้นั้นต่ำลง)

จากสมการข้างต้น ถ้าอัตราดอกเบี้ยเงินกู้คงที่ตลอดเวลา ไม่ว่าสัดส่วนของหนี้สินจะเพิ่มขึ้นเป็นเท่าใดก็ตาม จะทำให้อัตราผลตอบแทนจากการลงทุน (ต้นทุนเงิน) ยิ่งต่ำลง ซึ่งจะทำให้ ความมั่งคั่งของเจ้าของยิ่งสูงขึ้น


แต่ถ้า อัตราดอกเบี้ยเงินกู้ขยับสูงขึ้นตามสัดส่วนหนี้สินที่เพิ่มขึ้นแล้ว เราจะต้องทดลองคำนวณว่า ณ สัดส่วนของหนี้สินที่ต่างกันนั้น จะมีดอกเบี้ยเงินกู้เท่าใด (เช่น ถ้ากู้ 20 ใช้ส่วนของเจ้าของ 80 อัตราดอกเบี้ยเงินกู้อยู่ที่ 6% , ถ้ากู้ 30 ใช้ส่วนของเจ้าของ 70อัตราดอกเบี้ยเงินกู้อยู่ที่ 7% , ถ้ากู้ 40 ใช้ส่วนของเจ้าของ 60 อัตราดอกเบี้ยเงินกู้อยู่ที่ 8%)  จากนั้นจึงลองแทนค่าต่างๆ นี้ ลงในสมการข้างต้น เพื่อดูว่า ณ สัดส่วนหนี้ และ อัตราดอกเบี้ยเงินกู้ใด จะให้ค่าเฉลี่ยต้นทุนเงินที่ต่ำที่สุด

ถึงจุดนี้ หลายคน เกิดคำถามขึ้นว่า ถ้าหากเจ้าของต้องการอัตราผลตอบแทนสูงๆ แล้วจะทำให้ต้นทุนเงินต่ำได้อย่างไร คำตอบคือ พอได้ครับ ด้วยการก่อหนี้แล้วนำต้นทุนเงินที่ตำ่กว่าของหนี้มาถัวเฉลี่ย แต่ถ้าอัตราผลตอบแทนที่เจ้าของต้องการสูงมากๆ นั้น การก่อหนี้ก็อาจช่วยไม่ได้เหมือนกัน เพราะ ถ้าต้องการผลตอบแทนสูง แสดงว่าเงินนั้นมีต้นทุนสูง ซึ่งก็หมายความว่าต้องนำไปลงทุนในกิจการที่ให้ผลตอบแทนสูงมากๆ  (และความเสี่ยงสูงมากขึ้น) ตามมาด้วย  

ยกตัวอย่างเช่น ถ้ากิจการหนึ่งให้อัตราผลตอบแทน 12% แต่เจ้าของต้องการอัตราผลตอบแทน 15% จะทำอย่างไร คำตอบคือ เจ้าของก็ต้องใช้เงินตัวเองส่วนหนึ่ง  กู้ยืมส่วนหนึ่ง สมมติกู้ 50% ของเงินทุนที่ต้องใช้ทั้งหมดที่อัตราดอกเบี้ย 7% ดังนั้น

อัตราผลตอบแทนถัวเฉลี่ยของเงินทุนก็คือ = [(50% x 7%) (1 - 30%)] + [50% x 15%] = 9.95% ดังนั้นก็สามารถลงทุนในกิจการนี้ได้ เพราะกิจการนี้ให้ผลตอบแทนถึง 12% เมื่อต้นทุนเงินนั้นเพียง 9.95% ก็หมายความว่าสามารถสนองความต้องการของทั้งผู้ลงทุนและเจ้าหนี้


สำหรับแนวคิดเรื่องโครงสร้างเงินทุนนี้ ต้องบอกว่าถึงแม้ในทางทฤษฎีจะสามารถหาคำนวณหาต้นทุนเงินที่ต่ำที่สุดได้ แต่ในทางปฏิบัติ คนทั่วไปอาจไม่ได้ใส่ใจในเรื่องนี้มากนัก เพราะมักมุ่งให้ความสนใจไปในการตลาด การขายมากกว่า ซึ่งก็ไม่แปลก แต่ถ้ามีเวลา ลองหันกลับมามองเรื่องของโครงสร้างต้นทุน ก็จะสามารถช่วยเพิ่มมูลค่าของบริษัทได้ทันที ซึ่งถึงแม้มูลค่าที่เพิ่มขึ้นอาจจะไม่หวือหวานัก (ส่วนใหญ่ไม่เกิน 10%) แต่ก็ดีกว่าปล่อยให้เป็นไปตามธรรมชาติ มิใช่หรือ

ลองไปทบทวนกันดูนะครับ

 



วันศุกร์ที่ 20 มีนาคม พ.ศ. 2552

Insider Trading

ผมมีบทความอยู่ชิ้นหนึ่งซึ่งเขียนไว้เกือบ 2 ปีที่แล้ว เรื่อง insider trading เป็นรายงานประกอบวิชาความรู้คู่คุณธรรม (RU900) ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของหลักสูตรปริญญาเอก ของสถาบันการศึกษานานาชาติ มหาวิทยาลัยรามคำแหง ซึ่งแหล่งอ้างอิงแหล่งหนึ่งในการทำรายงานนั้นมาจาก MIT Sloan Management Review ซึ่งน่าสนใจมาก จึงขอนำบางส่วนของรายงานนั้นมาเผยแพร่ไว้ ณ ที่นี้ครับ

เมื่อใดที่การค้าหุ้นโดยใช้ข้อมูลภายในเพื่อแสวงหาผลประโยชน์จากการซื้อขายหลักทรัพย์ ถูกกฎหมาย

            เนื้อหาที่ Shell (2001, pp.89-90) เขียนไว้ในบทความมีใจความแปลได้ว่า เมื่อคุณเข้าไปในลิฟต์แล้วบังเอิญได้ยินผู้บริหารสองคนซึ่งทำงานอยู่ที่บริษัทที่ตั้งอยู่ชั้นสูงขึ้นไปคุยกันด้วยเสียงที่เบาและต่ำเพื่อไม่ให้คนอื่นได้ยิน แต่คุณก็ยังจับความได้ว่าบริษัทนั้นกำลังจะถูกซื้อโดยบริษัทยักษ์ใหญ่ในวันรุ่งขึ้นและผู้บริหารกำลังจะได้เงินหลายล้านเหรียญจากสิทธิในการซื้อหุ้น สมมติว่าบริษัทดังกล่าวอยู่ในตลาดหลักทรัพย์ คุณจะรีบวิ่งกลับบ้านแล้วไปซื้อหุ้นของบริษัทดังกล่าวโดยไม่ผิดกฎหมายได้หรือไม่ บทความนี้จะให้ความกระจ่าง

            การที่หน่วยงานของรัฐจะต้องมีการพิสูจน์หลายขั้นตอนว่าก่อนตัดสินว่าบุคคลใดกระทำความผิดที่เกี่ยวข้องกับ Insider trading ซึ่งประกอบไปด้วย (1) จะต้องมีการซื้อขายหลักทรัพย์เกิดขึ้น (2) การซื้อขายนั้นจะมีมูลเหตุมาจากการรับรู้ข้อมูลใด ๆ ที่ยังไม่เป็นที่เปิดเผยแก่สาธารณะชน (3) ผู้ที่ทำการซื้อขายหุ้นหรือผู้ที่แพร่งพรายข้อมูลต้องรู้ว่าข้อมูลที่เขากำลังยุ่งเกี่ยวด้วยนั้นเป็น ของร้อน” (4) บุคคลผู้นั้นได้ทำผิดต่อหน้าที่ในฐานะที่ได้รับความไว้วางใจจากบริษัทในการที่เขาไปทำการซื้อขายหลักทรัพย์โดยใช้ข้อมูลที่เป็นความลับของบริษัท หรือแพร่งพรายความลับของบริษัท

            ดังนั้นจากขั้นตอนดังกล่าวจะเห็นได้ว่าผู้ที่ทราบข้อมูลภายในนั้นจะไม่สามารถไปทำการซื้อขายหุ้นหรือแพร่งพรายข้อมูล อันจะก่อให้เกิดประโยชน์ต่อตนเอง

            คราวนี้นำหลักการข้างต้นมาพิจารณาเรื่องในลิฟต์อีกครั้ง ถ้าคุณไปซื้อหุ้นของบริษัทดังกล่าว นั่นคือจะมีขั้นตอนการซื้อขายเกิดสำเร็จขึ้น แต่เรื่องจะต่างออกไปถ้าคุณถือหุ้นบริษัทนั้นอยู่แล้วและกำลังมีแผนที่จะขาย แต่มาเปลี่ยนใจเมื่อได้ยินบทสนทนาในลิฟต์ กฎหมายไม่ได้กำหนดโทษถ้าคุณพลาดที่จะซื้อหรือตัดสินใจที่จะถือหุ้นต่อไป

            ในข้อสอง ข้อมูลนั้นเป็นข้อมูลที่ยังไม่เป็นที่เปิดเผยแก่สาธารณะชนหรือไม่ แน่นอน ผู้บริหารพูดกันด้วยเสียงที่เบาและต่ำในลิฟต์ว่าจะมีการซื้อบริษัทในวันรุ่งขึ้น เป็นเรื่องที่ยังไม่เป็นที่ทราบทั่วไปแก่สาธารณชน ดังนั้นผู้ลงทุนโดยทั่วไปแล้วจะต้องพิจารณาว่าข้อมูลนี้เป็นข้อมูลสำคัญที่จะมีผลต่อการตัดสินใจซื้อขาย

            ข้อสามคุณรู้หรือเปล่าว่าข้อมูลนั้นเป็นของร้อน แน่นอน คุณย่อมรู้ว่าสิ่งที่ผู้บริหารคุยกันนั้นเป็นเรื่องร้อนและเป็นความลับ

            ในข้อสุดท้ายการที่ผู้บริหารปล่อยให้ข้อมูลนั้นหลุดมาถึงคุณ และคุณก็ได้ไปซื้อขายหุ้นนั้นผิดต่อหน้าที่ของคุณต่อบริษัทนั้นหรือไม่ คุณไม่ใช่พนักงานของบริษัทนั้น คุณจึงไม่ต้องมีความรับผิดชอบใด ๆ ต่อบริษัทดังเช่นที่พนักงานของบริษัทพึงกระทำ และคุณก็ไม่ได้มีสัญญาที่จะปกปิดความลับดังเช่นที่ นักกฎหมาย นักบัญชี หรือที่ปรึกษาของบริษัทจะต้องทำสัญญาดังกล่าวกับบริษัท และสุดท้ายคุณก็ไม่ได้เป็นญาติกับใครในบริษัทนั้น

 

            แล้วผู้บริหารของบริษัทดังกล่าวมีความผิดหรือไม่ เขามีความรับผิดชอบต่อบริษัท แต่เขาไม่ได้เผยแพร่ข้อมูลให้คุณเพื่อผลประโยชน์ใด ๆ ของเขาเอง เขาไม่ได้อะไรเลยจากการที่ไม่ระมัดระวังคำพูด การกระทำของเขาเป็นการไม่รอบคอบใช่หรือไม่ คำตอบคือ ใช่ แต่มันเป็นไปเพื่อประโยชน์ของตัวเขาเองหรือไม่ คำตอบคือ ไม่ สรุปปิดคดี คุณคือผู้ชนะ

            ดังนั้น คุณก็มีสิทธิที่จะซื้อขายหุ้น จริงอยู่ว่าการซื้อขายของคุณอาจจะกระตุ้นให้หน่วยงานของรัฐเข้ามาตรวจสอบ ว่ามีรายการซื้อขายผิดปกติก่อนการประกาศข้อมูลที่สำคัญของบริษัท ซึ่งมันอาจนำมาซึ่งความเสื่อมเสียชื่อเสียงของคุณ แต่คุณก็ไม่ได้ทำผิดกฎหมาย

            คราวนี้สมมติว่าคุณรู้จักกับผู้บริหารหนึ่งในสองคนนั้น และเขาก็ตั้งใจที่จะกระซิบให้คุณได้ยินข้อมูล ในช่วงเวลาหลายปีที่ผ่านมาคุณเคยช่วยเหลือกันในด้านธุรกิจแต่ก็ไม่เคยให้ข้อมูลที่เป็นประโยชน์ต่อการซื้อขายหุ้นเช่นนี้ คราวนี้คุณสามารถซื้อขายหุ้นได้หรือไม่

            ถ้ามองผิวเผิน เหตุการณ์ก็ดูไม่มีอะไร เพื่อนคุณเพียงแต่บอกข้อมูลเป็นของขวัญเพื่อให้คุณได้รับผลประโยชน์ แต่ไม่ใช่ตัวของเขาเอง (ผู้บริหารของบริษัทนั้น) ซึ่งก็เหมือนกับกรณีคนแปลกหน้าในลิฟต์ เขาทำความลับรั่วไหล แต่ถึงแม้เขาจะผิดต่อหน้าที่ในการรักษาความลับของบริษัท แต่เขาก็ไม่ได้ผลประโยชน์ใด ๆ จากการซื้อขายหุ้นของคุณ

            แต่การที่เขาแพร่งพรายข้อมูลให้คุณรู้ เป็นการให้อย่างบริสุทธิ์ใจหรือเปล่า หรือเป็นการหวังสิ่งตอบแทนในภายภาคหน้า เช่น เป็นการช่วยเหลือเกื้อกูลกันทางทั้งในทางส่วนตัวหรือในทางธุรกิจต่อไปในอนาคต คราวนี้เจ้าหน้าที่ของรัฐก็จะสามารถตัดสินได้ว่านี่เป็นกรณีของ Insider trading เพื่อนของคุณได้เปิดเผยความลับเพื่อประโยชน์ของเขาเองในอนาคต ไม่ว่าจะเป็นการตอบแทนทางธุรกิจ หรือจะฝากลูกเข้าโรงเรียน ดังนั้นการผิดต่อหน้าที่ของเขานั้นเป็นไปด้วยความหวังที่จะได้รับผลตอบแทนในอนาคต และนี่เป็นสิ่งที่แตกต่าง

 

            คราวนี้ลองดูในอีกกรณีหนึ่ง สมมติว่าเพื่อนของคุณเป็นกองบรรณาธิการนิตยสารบิสิเนสวีค และกำลังจะจัดอันดับซอฟท์แวร์ที่เป็นนวัตกรรมในฉบับหน้า แล้วซอฟแวร์ของบริษัทเดียวกันนั้นก็ได้รับการจัดให้เป็นอันดับ 1 ในสาย ซึ่งจะทำให้มูลค่าหุ้นของบริษัทนั้นสูงขึ้นอย่างมาก คุณจะสามารถไปซื้อหุ้นของบริษัทนั้นด้วยข้อมูลที่ได้รับมาจากเพื่อนได้หรือไม่

            คำตอบ คือ ไม่ได้ กฎหมายนั้นให้ความสำคัญกับข้อมูลลับที่จะมีผลต่อราคาหุ้นของบริษัท โดยไม่ได้สนใจว่าจะมาจากแหล่งข้อมูลใด ไม่ว่าจะเป็นข้อมูลด้านดีหรือร้าย และไม่ว่าจะมาจากบุคคลภายในบริษัทหรือ บทความทางธุรกิจ หรือ ฝ่ายวิจัยของวอลล์- สตรีท

            เสริมด้วยสถานการณ์พิเศษ 3 สถานการณ์ที่เกี่ยวข้องกับความรู้ในเรื่องกฎหมายที่เกี่ยวกับ Insider trading คือ (1) ข้อมูลความลับใด ๆ ที่เกี่ยวข้องกับการเสนอขอซื้อหุ้น (tender offer) เช่นการเข้าครอบครองโดยปรปักษ์ (hostile takeover) เป็นเรื่องที่ร้อนเกินกว่าที่บุคคลใด ๆ จะอยากเข้าไปข้องเกี่ยว เพราะกฎหมายเข้มงวดมากในเรื่องเกี่ยวกับการเสนอขอซื้อหุ้น (2) ในการที่คุณเป็นพนักงานและได้หุ้นของบริษัทมา จะทำอย่างไรเพื่อหลีกเลี่ยงความเสี่ยงที่จะผิดต่อกฎหมาย Insider trading ในกรณีนี้ คุณสามารถทำได้โดยเสนอแผนการขายหุ้นที่มีกำหนดระยะเวลาแน่นอนให้คณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ทราบ เช่นคุณกำหนดจะขายหุ้นจำนวนเท่า ๆ ทุก ๆ วันจันทร์แรกของเดือน (3) ถ้าคุณเป็นผู้บริหารหรือกรรมการหรือถือหุ้นของบริษัทเกิน 10% ก็มีกฎอยู่ว่า คุณจะต้องซื้อขายหุ้นแต่ละครั้งต้องมีระยะเวลาห่างกันอย่างน้อย 6 เดือน คือห้ามซื้อแล้วขายทันทีต้องรออย่างน้อย 6 เดือนจึงจะขายได้ และในทางกลับกันเมื่อขายหุ้นแล้วห้ามซื้อหุ้นใหม่ ต้องรออย่างน้อย 6 เดือน ซึ่งกฎนี้ไม่สนใจว่าคุณจะรู้ความลับของบริษัทหรือไม่

            การแสวงหากำไรจากข้อมูลภายในนั้นจะทำให้คุณมีปัญหาได้ แต่ก็มีบางกรณีที่ถูกกฎหมาย ดังนั้นหากคุณบังเอิญไปนั่งในบาร์ใกล้กับผู้บริหารระดับสูงที่เผยความลับออกมาโดยไม่ได้ตั้งใจหรืออาจตั้งใจให้เป็นของขวัญกับคุณ คุณก็สามารถรับไว้ได้ถ้าคุณต้องการ แต่ถ้าคุณเลี้ยงเครื่องดื่มเขากลับ นั่นจะกลายเป็นการตอบแทนและทำให้การแพร่งพรายความลับที่ไม่หวังผลกลายเป็นการทำเพื่อหวังผลตอนแทนและเข้าข่าย Insider trading ดังนั้นทางที่ดีหากมีข้อสงสัย ควรปรึกษานักกฎหมาย และที่ดีที่สุดคือไม่ต้องไม่ซื้อขายหุ้น เพราะมันจะนำความยุ่งยากมาสู่คุณในภายหลัง

            บทความดังกล่าวข้างต้น จะเห็นว่าผู้เขียนไม่ได้แนะนำเรื่องของคุณธรรมและศีลธรรม แต่เป็นการป้องกันการทำผิดกฎหมาย ซึ่งการไม่ทำผิดกฎหมายไม่ได้แปลว่าจะไม่ผิดศีลธรรม จากกรณีตัวอย่างคนแปลกหน้าในลิฟต์ที่ยกมาเป็นกรณีแรกข้างต้น หากมองงผิวเผิน อาจดูเหมือนไม่มีใครเสียประโยชน์ จากการที่เรารู้ความลับมาแล้วไปซื้อหุ้น แต่แท้จริงมีผู้เสียประโยชน์ ซึ่งอาจเป็นผู้ขายหุ้นให้เรา เพราะถ้าเราไม่ซื้อเขาอาจจะยังขายหุ้นไม่ออก เมื่อมีข่าวประกาศออกมาเขาก็จะได้รับประโยชน์ หรือในกรณีที่เราซื้อมาแล้วเป็นการซื้อตัดหน้าผู้ซื้อรายอื่น ผู้ที่พลาดโอกาสนั้นอาจไม่สามารถซื้อหุ้นได้ หรือหากซื้อได้อาจเป็นราคาที่สูงขึ้น เพราะเรามีส่วนมาสร้างอุปสงค์ (demand) ให้หุ้นตัวนั้น ซึ่งอาจทำให้ราคาหุ้นสูงขึ้น


แปลจาก  Shell, G. R. (2001, Fall). When is it legal to trade on inside information?. MIT Sloan Management Review43(1), 89-90.