คราวนี้มาว่ากันถึงเรื่องความเข้มข้นในการเรียนที่ Harvard Business School ต่อครับ เริ่มต้นก่อนที่จะไปเรียน นักเรียนทุกคนจะได้รับการแจ้งชื่อ web site ของหลักสูตรที่จะไปเรียน พร้อมทั้งชื่อ login และ password เพื่อให้ download เอกสารทั้งหมดและพิมพ์ออกมาอ่านให้เสร็จทั้งหมดก่อนที่จะเริ่มหลักสูตร เพราะตารางเวลาที่มีให้ประจำวันมีเวลาว่างหลังเลิกเรียนเพียงวันละประมาณ 3-4 ชั่วโมง ซึ่งเมื่อหักเวลาทำธุระส่วนตัวประมาณ 1 ชั่วโมง รวมถึง assignment ที่ได้รับระหว่างวันแล้ว เวลาที่เหลือแทบจะไม่พออ่าน case สำหรับวันรุ่งขึ้น และในช่วงเช้าหลังทำธุระและรับประทานอาหารเช้าเสร็จก็ต้องทำการประชุมกับ living group ก่อนเข้าเรียนอย่างน้อย 30-45 นาที ถ้าใครที่ไม่เตรียมตัวมาก็จะ contribute ให้กลุ่มแทบไม่ได้เลย
สำหรับผมนั้นถึงแม้จะได้แบ่งเวลาอ่าน case ล่วงหน้าอยู่หลายสัปดาห์ แต่ก็ไม่สามารถอ่านได้ทัน แต่ในที่สุด ด้วยชั่วโมงบินจากกรุงเทพถึงบอสตันนั้นยาวนานอยู่พอสมควร เวลาที่ผู้โดยสารคนอื่นหลับ ผมก็อ่านหนังสือ อาศัยงีบเป็นระยะๆ เท่านั้น ช่วงละไม่เกิน 2 ชั่วโมง ทำให้ผมอ่าน case ทั้งหมดได้ทันก่อนเริ่มต้นเรียน แต่สิ่งที่ผมพบในภายหลังก็คือ สิ่งที่อ่านมาทั้งหมด มันตีกันไปหมด จำไม่ได้ว่า case ไหน เป็น case ไหน ตัวละครชื่ออะไรบ้าง และหนักๆ เข้า บางcase ถึงกับนึกเรื่องราวไม่ออกเลยทีเดียว เป็นผลให้ผมต้องอ่าน case ทุก case ใหม่เป็นรอบสอง!
อ้าว แล้วไหนบอกว่าเวลาว่างที่มีให้ไม่เพียงพอยังไง? ก็ต้องบอกว่าถ้าตามปกติแล้วก็คงไม่พอหรอกครับ แต่ผมโชคดีที่เกิดอาการ Jet Lag ทำให้ให้ตื่นประมาณตี 3 ถึงตี 4 แทบทุกวัน ก็ได้อาศัยโอกาสใช้ช่วงเวลานั้นอ่าน case อีกวันละ 2-3 ชั่วโมง ทำให้ได้ทบทวน case ก่อนเข้าเรียนแบบสดๆ ร้อนๆ ทำให้จำได้ดีขึ้น contribute ให้กลุ่มได้มากขึ้น แต่ข้อเสียก็มีเหมือนกันครับ คือตอนค่ำ ๆจะเริ่มเงียบ ซึม ด้วยอาการง่วงนอน ซึ่งส่วนใหญ่ผมก็จะนอนประมาณ 3 ทุ่มเท่านั้น (ในห้องไม่มี TV ให้ ถ้าจะดูต้องไปที่ห้องส่วนกลางประจำกลุ่ม แต่ก็ไม่เห็นมีใครออกมาดู)
อีกประเด็นหนึ่งที่ช่วยให้นักเรียนอ่าน case ได้ดีขึ้นก็คือ อาจารย์จะได้มีการให้คำถาม guide ไว้แล้ว ว่าสิ่งที่ตัวละครใน case ปฏิบัติดีแล้วหรือไม่อย่างไร มีอะไรที่เราอยากเปลี่ยนแปลงบ้าง เพราะอะไร ซึ่งการที่ได้คิดตามไปด้วยในทุกๆ case ก็เหมือนเป็นการย่นเวลาการสร้างประสบการณ์ให้กับตัวเราเอง ได้ลองผิดลองถูก โดยไม่มีผลกระทบกับธุรกิจจริงๆ ซึ่งนี่เองที่ผมถือว่าเป็นหัวใจหลักของการเรียนที่นี่
ในห้องเรียน สิ่งที่อาจารย์ทุกคนมักจะทำเหมือนๆ กันก็คือ ขอ background ของ case จากนักเรียน ว่ามีความเป็นมาเป็นไปอย่างไร แต่วิธีที่อาจารย์เขียน background ลงบนกระดานดำนั้น จะมีการแยกหมวดหมู่ชัดเจน ว่าเป็นปัจจัยภายในหรือภายนอก เป็น กลยุทธ์หรือเป็นภารกิจทั่วไป เหล่านี้เป็นต้น จากนั้นก็จะมีการส่งเสริมให้มีการอภิปรายกันทั่วทั้งห้อง มีการให้ยกมือเลือกข้าง มีการฟังเหตุผลของเสียงข้างน้อย ซึ่งผมสังเกตว่าทุกคนมีความเต็มใจที่จะ contribute ให้กับชั้นเรียน เพื่อการเรียนรู้ของตนเองและผู้อื่น
สิ่งที่เป็นข้อสังเกตอย่างชัดเจนเมื่อในบาง class โดยเฉพาะ class ที่เป็นการสรุปนั้น อาจารย์จะใช้วิธีการ lecture ซึ่งถึงแม้จะมีความกระตือรือร้นมากเพียงใด มีการนำเสนอผลวิจัยใหม่ๆ ที่น่าตื่นตะลึงมากเพียงใด ผมกลับพบว่าความสามารถในการ lecture ที่ดีเลิศนั้น ไม่แตกต่าง จากอาจารย์จาก business school อื่นๆ เช่น Kellogg, Wharton หรือ Kenan Flagler (University of North Carolina at Chapel Hill) ที่ผมได้เคยประสบมา ดังนั้น สิ่งที่แตกต่างอย่างแท้จริง น่าจะอยู่ตรง Case Method นี่แหละครับ ที่ช่วยให้เกิดความมีชีวิตชีวา การเรียนรู้และจดจำได้อย่างดี
แต่อย่างไรก็ตาม Case Method ในมุมมองของผมนั้นก็อาจจะมีจุดอ่อนอยู่บ้างตรงที่ นักเรียนแต่ละคนอาจตีความหมายได้ไม่เหมือนกัน เกิดการซึมซับไม่เท่ากัน คนที่ contribute น้อย ก็ได้เรียนรู้แต่เพียงจากการอภิปรายของคนอื่น คนที่ contribute มากก็จะได้รับประสบการณ์และการอธิบายโดยตรงที่ช่วยปรับมุมมองที่คลาดเคลื่อนให้เข้ามาอยู่ในกระแสได้ แต่ทั้งนี้ทั้งนั้น อาจารย์หลายท่านก็ได้เคยบอกแล้วว่าคำตอบ ไม่มีผิด ไม่มีถูก แต่สิ่งสำคัญคือกระบวนการในการค้นหาคำตอบต่างหากที่สำคัญกว่าและจะช่วยเราได้ในอนาคต ซึ่งผมขอจบบทความตอนนี้ด้วยคำกล่าวจาก Albert Einstein ว่า Finding the right problems or asking the right questions is more important than finding solutions!
สวัสดีครับ
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น