สวัสดีครับ ในครั้งนี้เรามาต่อกันในเรื่องการวิเคราะห์โครงการลงทุน ซึ่งคราวนี้จะพูดถึงNPV ซึ่งเป็นวิธีการที่คำนึงถึง “ค่าของเงินตามเวลา” (Time Value of Money) ซึ่งหมายความว่าค่าของเงินจะน้อยลงตามเวลาที่เพิ่มขึ้น ด้วยสาเหตุหลักอันเนื่องมาจาก (1) ความพอใจที่จะได้รับเงินในปัจจุบันมากกว่าอนาคต (2) ค่าเสียโอกาส (3) เงินเฟ้อ (4) ความเสี่ยง ยกตัวอย่างเช่น ถ้านายจ้างบอกว่าให้เรามีสิทธิ์เลือกว่าจะรับโบนัสวันนี้ 10,000 บาท หรือ จะรอรับโบนัสตอนสิ้นปี 10,500 บาท เชื่อว่าคนส่วนมากจะเลือกรับโบนัสในวันนี้ถึงแม้ตัวเงินอาจจะน้อยกว่าที่ได้รับตอนปลายปี นั่นเป็นเพราะ (1) เราพอใจที่จะได้รับเงินในวันนี้มากกว่าตอนสิ้นปี (2) เราสามารถนำเงินที่ได้รับมาไปลงทุนเพื่อให้ออกดอกออกผลซึ่งเมื่อถึงสิ้นปีอาจมีมูลค่าเพิ่มขึ้นใกล้เคียงกับ 10,500 บาท (3) หรือเราอาจนำไปซื้อสินค้าบางอย่างที่เราต้องการ ซึ่งถ้าไม่ซื้อตอนนี้ ตอนปลายปีอาจราคาสูงขึ้นกว่านี้ และที่สำคัญ (4) เราไม่แน่ใจว่าถึงถึงสิ้นปีนายจ้างจะสามารถจ่ายโบนัสเรา 10,500 บาทได้จริงหรือไม่
เมื่อเราเข้าใจหลักการเรื่องค่าของเงินตามเวลาแล้ว คราวนี้ก็มาถึงเรื่องการวิเคราะห์การลงทุนด้วยวิธี Net Present Value (NPV) ซึ่งก็เป็นการนำกระแสเงินสดทั้งรับและจ่ายที่เกิดขึ้นต่างกรรมต่างวาระมาหักกลบลบกัน โดยมีการ “คิดลด” (discount) กระแสเงินสดที่เกิดขึ้น ณ เวลาต่างๆ ในอนาคต ให้มาอยู่บนฐานเดียวกัน ณ เวลาปัจจุบัน ยกตัวอย่างเช่น มีโครงการลงทุนโครงการหนึ่งระยะเวลา 3 ปีและมีประมาณการรายรับและรายจ่ายดังต่อไปนี้
หน่วย:บาท
| t= 0 (ปัจจุบัน) | t= 1 (ณ สิ้นปีที่ 1) | t= 2 (ณ สิ้นปีที่ 2) | t= 3 (ณ สิ้นปีที่ 3) |
เงินสดรับ | 0 | 105 | 105 | 105 |
เงินสดจ่าย | 100 | 100 | 100 | 0 |
เงินสดสุทธิ | -100 | 5 | 5 | 105 |
ถ้าเราเอากระแสเงินสดทั้งหมดมารวมกันโดยไม่คำนึงถึงค่าของเงินตามเวลา เราก็จะได้
–100+5+5+105 = 15 ซึ่งแสดงว่าโครงการลงทุนให้ผลกำไรเป็นบวก 15 บาท
แต่ถ้าเราบอกว่าเงินสดที่เราะจะนำมาใช้ลงทุนในโครงการนี้เราขอยืมมาจากญาติผู้ใหญ่ที่เคยลงทุนในโครงการลักษณะนี้มาก่อน ซึ่งญาติผู้ใหญ่บอกเราว่าโครงการแบบนี้ควรจะต้องได้ผลตอบแทน 15% ต่อปี ดังนั้นจึงหมายความความว่าถ้านำเงินที่มีต้นทุน 15% จำนวน 100 บาทในวันนี้ไปลงทุน ก็จะมีค่าในอนาคตเวลาต่างๆ ดังนี้ (ใช้สมมติฐานว่านำทั้งเงินต้นและดอกผลไปลงทุนต่อในงวดถัดไป)
หน่วย:บาท
| t= 0 | t= 1 | t= 2 | t= 3 |
สูตร | 100 (1.15)0 | 100 (1.15)1 | 100 (1.15)2 | 100 (1.15)3 |
ผลลัพธ์ | 100 | 115 | 132.25 | 152.09 |
ด้วยหลักการเดียวกันเราจึงนำ 15% มาใช้ในการคิดลดกระแสเงินสดที่ได้จาการประมาณการซึ่งมีวิธีการคำนวณโดยการนำพจน์ (1+r)n โดยที่ r คือ discount rate และ n คือระยะเวลา (งวด) มาเป็นตัวหาร (เป็นการคิดลดมูลค่าจากอนาคตมาเป็นมูลค่าปัจจุบัน)
| t= 0 | t= 1 | t= 2 | t= 3 |
เงินสดสุทธิ | -100/ (1.15)0 | 5/(1.15)1 | 5/(1.15)2 | 105/(1.15)3 |
ผลลัพธ์ | -100 | 4.35 | 3.78 | 69.04 |
ปรากฏว่าเมื่อนำกระแสเงินสดทั้งหมดที่คิดลดเป็นมูลค่าปัจจุบันมารวมกัน เราจะได้ -100+4.35+3.78+69.04 = -22.83 บาท ซึ่งขาดทุน แปลว่าไม่ควรทำโครงการนี้ ดังนั้นจะเห็นได้ว่าการไม่คำนึงถึงค่าของเงินตามเวลานั้น จะส่งผลให้เราตัดสินใจในการลงทุนผิดพลาดได้ คราวหน้าเราจะมาต่อกันในเรื่องการวิเคราะห์วิธี IRR ซึ่งเป็นอีกวิธีที่นิยมไม่แพ้ NPV ครับ
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น