วันศุกร์ที่ 31 กรกฎาคม พ.ศ. 2552

เรื่องเล่าจากฮาวาร์ด

สวัสดีครับ ในช่วงหลังนี้บทความที่ผมเขียนลงทั้งใน Blog ของตัวเองและที่ Business Acumen ค่อนข้างจะขาดช่วงไปสักหน่อย เนื่องจากผมมีภารกิจในการกลับไปเป็นนักเรียนอีกครั้ง โดยล่าสุดผมเพิ่งกลับมาจากการเรียนในหลักสูตร Driving Corporate Performance ของ Harvard Business School ที่มหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ด ประเทศสหรัฐอเมริกา จึงขอนำประสบการณ์มาเล่าให้ทุกท่านฟัง ณ ที่นี้ครับ

หลักสูตรที่ผมไปเรียนเป็นหลักสูตรทางด้าน Financial Management สำหรับ ผู้บริหารที่มีหน้าที่เกี่ยวข้องกับการวางแผนกลยุทธ์ และการบริหารการเงินของบริษัท ซึ่งผู้ที่ไปเข้าร่วมส่วนใหญ่นั้นมีตั้งแต่ระดับ CEO, CFO, Finance Director, Strategic Planner จากองค์กรชั้นนำทั่วโลก และผู้อำนวยการหลักสูตรก็คือศาสตราจารย์ Robert Kaplan ร่วมกับ ศาสตราจารย์ Robert Simons (ซึ่งอาจารย์สาวท่านหนึ่งในหลักสูตรนี้ให้สมญานามว่า Bob & Bob Show)

เมื่อกล่าวถึงชื่อศาสตราจารย์ Robert Kaplan หลายๆ ท่านอาจคุ้นชื่อ เพราะท่านเป็นผู้ร่วมเขียนหนังสือ Balanced Scorecard, Strategy Map, Strategy-Focused Organization, Alignment, Execution Premium ฯลฯ ส่วนศาสตราจารย์ Robert Simons ก็มีผลงานเขียนหนังสือที่น่าสนใจอยู่หลายเล่มเช่น Levers of Control และ Levers of Organizational Design และอื่นๆ อีกมากมาย

ในเรื่องของเนื้อหาที่ไปเรียนมีทั้งเรื่องการ กำหนดค่านิยมหลักขององค์กร การบริหารจัดการกลยุทธ์ด้วยเครื่องมือที่สำคัญคือ Strategy Map และ Balanced Scorecard โดยนำมาใช้ในการสร้างระบบ การจัดการกระบวนการภายใน การสื่อสารและการวัดผลการปฏิบัติงาน นอกจากนี้ยังมีเรื่องของ การสร้างวัฒนธรรมองค์กร การจัดโครงสร้างองค์กร การตัดสินใจเรื่องการ Outsourcing จริยธรรม และ การบริหารความเสี่ยง ซึ่งผมจะได้ทยอยเขียนถึงเนื้อหาในหัวข้อต่างๆ ในโอกาสต่อๆ ไป

ในชั้นเรียนมีผู้บริหารเข้าเรียนทั้งหมด 48 คน จากหลากหลายประเทศทั่วโลก โดยมีคนอเมริกันประมาณ 10 คนเท่านั้น รูปแบบการจัดการเรียนการสอนนั้นนักเรียน (ผู้บริหาร) ทุกคนจะต้องเข้าไปอาศัยอยู่ในหอพักของโรงเรียนตลอดระยะเวลาการศึกษา โดยมีห้องส่วนตัวให้เหมือนโรงแรมซึ่งมีขนาดพออยู่ได้คนเดียว มีอุปกรณ์อำนวยความสะดวก และคอมพิวเตอร์ spec อย่างดีให้พร้อม และในขณะเดียวกันก็ได้จัดให้มีห้องส่วนกลางที่กว้างขวางสะดวกสบายพร้อมจอ LCD ขนาดใหญ่ เครื่องเล่น DVD ตู้เย็นและคอมพิวเตอร์ ไว้อำนวยความสะดวกไว้สำหรับการอภิปรายและทำการบ้านของกลุ่ม

วิธีการเรียนการสอนนั้นใช้ Case Method ซึ่งนักเรียนจะต้องเตรียมตัวอ่าน case ล่วงหน้าวันละ 3-4 cases และต้องมีการอภิปรายกันใน Living Group ก่อน (กลุ่มผู้บริหารที่ถูกจัดให้อยู่ในหอพักบริเวณเดียวกันประมาณ 8-9 คน โดยมาจากพื้นเพที่หลายหลาย และแทบแตกต่างกันโดยสิ้นเชิง อย่างเช่นในกลุ่มของผมมี 8 คน ซึ่งเรามาจาก 8 ประเทศและ 8 อุตสาหกรรมที่ไม่ซ้ำกันเลย) จากนั้นจึงเข้าไปทำการอภิปราย case ในห้องเรียนโดยอาจารย์ทำหน้าที่เป็น facilitator เพื่อช่วยให้เกิดการเรียนรู้จากทั้งจากอาจารย์และประสบการณ์ มุมมองของเพื่อเรียนชั้นเรียน

สิ่งที่ประทับใจผมเป็นอย่างมากคือ การที่ทางโรงเรียนได้สร้าง total experience ให้กับนักเรียน ยกตัวอย่างเช่น ในหลังจากการเรียน case ของ Ben & Jerry’s Home Made Icecream นั้น ทางโรงเรียนก็ได้จัดให้มีไอศกรีมของ Ben & Jerry’s ไว้แจกนักเรียนทุกคน หรือในกรณีของ case เรื่อง strategic outsourcing นั้น ก็ได้มีการนัดเรียนแต่เช้าเป็นพิเศษ เพื่อถ่ายทอดภาพและเสียงของตัวละครเอกที่อยู่ใน case จากประเทศอินเดีย เพื่อให้เข้าร่วมฟังการอภิปรายของนักเรียน และได้ให้ตัวละครเอก (ซึ่งเป็นผู้บริหารระดับสูง) ได้ให้ข้อคิด มุมมอง ต่างๆ ที่เกิดขึ้นกับนักเรียนด้วย (ผมสังเกตว่า ผู้บริหาร 2 คนจาก 2 บริษัทชั้นนำในประเทศอินเดียนั้น ฉลาดมากๆ ทั้งเรื่องคำพูด มุมมอง ความคิด จนผมคิดว่าเขาน่าจะมาเป็นอาจารย์สอนที่ฮาร์วาร์ดได้สบายๆ เลย) และมีอยู่ 1 case ที่ได้เชิญ CEO ของบริษัทสายส่งไฟฟ้า ชั้นนำจากประเทศแคนาดาเข้ามาร่วมรับฟังในห้องด้วย (พอดีผมนั่งอยู่ฝั่งตรงข้ามและสังเกตเห็นป้ายชื่อของเธอ ตรงกับชื่อของตัวละครใน case ในขณะที่เพื่อนๆ จำนวนมากไม่ทันสังเกต และได้อภิปรายกันอย่างเต็มที่!) พอสุดท้ายอาจารย์แนะนำว่า CEO ของบริษัทใน case มานั่งฟังอยู่ด้วย หลายคนถึงกับออกอาการตกใจกันเลยทีเดียว

อาจารย์ Kaplan ได้ถามนักเรียนอย่างติดตลกไว้ตอนหนึ่งว่า คณาจารย์ในหลักสูตรนี้เหมือนกับนักดนตรีคณะ The Beatles ตรงไหนรู้ไหม คำตอบคือ เหมือนกันตรงที่เขียนเพลงและร้องเองยังไง เพราะ case ทั้งหมดที่ใช้ในการเรียนการสอนนั้น มาจากคณาจารย์ที่สอนในหลักสูตรทั้งหมด นอกจากนี้ case ที่นำมาใช้เกินกว่าครึ่งเพิ่งเขียนเสร็จตั้งแต่ช่วงต้นปีนี้ไปจนถึงไม่กี่วันก่อนที่จะเริ่มหลักสูตรด้วยซ้ำ! จึงนับเป็นโชคดีมากๆ ที่ได้เรียนรู้ case ล่าสุด ก่อนนักเรียน MBA เสียอีก (อาจารย์บางท่านบอกว่า การนำมา case มาให้ผู้บริหารได้ถกกันก่อนนั้น ช่วยให้อาจารย์ได้มุมมองดีๆ อีกหลายอย่างในการนำไปสอนเด็ก MBA และมีอาจารย์จากสเปนท่านหนึ่งที่ผมชอบในวิธีการสอนของท่านมากๆ ถึงกับกล่าวว่า นับเป็นเรื่องดีมากๆ ที่ได้มาสอน class ของเรา โดยที่อาจารย์ไม่ต้องจ่ายสตางค์!)

เรื่องราวที่น่าสนใจยังมีอีกมาก และผมคิดว่าคงเล่าไม่หมดในตอนเดียว ดังนั้นจึงขอมานำเสนอในโอกาสต่อๆ ไปละกันนะครับ

การวิเคราะห์โครงการลงทุน (Capital Budgeting) 2 : NPV

สวัสดีครับ ในครั้งนี้เรามาต่อกันในเรื่องการวิเคราะห์โครงการลงทุน ซึ่งคราวนี้จะพูดถึงNPV ซึ่งเป็นวิธีการที่คำนึงถึง ค่าของเงินตามเวลา (Time Value of Money) ซึ่งหมายความว่าค่าของเงินจะน้อยลงตามเวลาที่เพิ่มขึ้น ด้วยสาเหตุหลักอันเนื่องมาจาก (1) ความพอใจที่จะได้รับเงินในปัจจุบันมากกว่าอนาคต (2) ค่าเสียโอกาส (3) เงินเฟ้อ (4) ความเสี่ยง ยกตัวอย่างเช่น ถ้านายจ้างบอกว่าให้เรามีสิทธิ์เลือกว่าจะรับโบนัสวันนี้ 10,000 บาท หรือ จะรอรับโบนัสตอนสิ้นปี 10,500 บาท เชื่อว่าคนส่วนมากจะเลือกรับโบนัสในวันนี้ถึงแม้ตัวเงินอาจจะน้อยกว่าที่ได้รับตอนปลายปี นั่นเป็นเพราะ (1) เราพอใจที่จะได้รับเงินในวันนี้มากกว่าตอนสิ้นปี (2) เราสามารถนำเงินที่ได้รับมาไปลงทุนเพื่อให้ออกดอกออกผลซึ่งเมื่อถึงสิ้นปีอาจมีมูลค่าเพิ่มขึ้นใกล้เคียงกับ 10,500 บาท (3) หรือเราอาจนำไปซื้อสินค้าบางอย่างที่เราต้องการ ซึ่งถ้าไม่ซื้อตอนนี้ ตอนปลายปีอาจราคาสูงขึ้นกว่านี้ และที่สำคัญ (4) เราไม่แน่ใจว่าถึงถึงสิ้นปีนายจ้างจะสามารถจ่ายโบนัสเรา 10,500 บาทได้จริงหรือไม่

เมื่อเราเข้าใจหลักการเรื่องค่าของเงินตามเวลาแล้ว คราวนี้ก็มาถึงเรื่องการวิเคราะห์การลงทุนด้วยวิธี Net Present Value (NPV) ซึ่งก็เป็นการนำกระแสเงินสดทั้งรับและจ่ายที่เกิดขึ้นต่างกรรมต่างวาระมาหักกลบลบกัน โดยมีการ คิดลด (discount) กระแสเงินสดที่เกิดขึ้น ณ เวลาต่างๆ ในอนาคต ให้มาอยู่บนฐานเดียวกัน ณ เวลาปัจจุบัน ยกตัวอย่างเช่น มีโครงการลงทุนโครงการหนึ่งระยะเวลา 3 ปีและมีประมาณการรายรับและรายจ่ายดังต่อไปนี้

หน่วย:บาท

t= 0

(ปัจจุบัน)

t= 1

(ณ สิ้นปีที่ 1)

t= 2

(ณ สิ้นปีที่ 2)

t= 3

(ณ สิ้นปีที่ 3)

เงินสดรับ

0

105

105

105

เงินสดจ่าย

100

100

100

0

เงินสดสุทธิ

-100

5

5

105

ถ้าเราเอากระแสเงินสดทั้งหมดมารวมกันโดยไม่คำนึงถึงค่าของเงินตามเวลา เราก็จะได้

–100+5+5+105 = 15 ซึ่งแสดงว่าโครงการลงทุนให้ผลกำไรเป็นบวก 15 บาท

แต่ถ้าเราบอกว่าเงินสดที่เราะจะนำมาใช้ลงทุนในโครงการนี้เราขอยืมมาจากญาติผู้ใหญ่ที่เคยลงทุนในโครงการลักษณะนี้มาก่อน ซึ่งญาติผู้ใหญ่บอกเราว่าโครงการแบบนี้ควรจะต้องได้ผลตอบแทน 15% ต่อปี ดังนั้นจึงหมายความความว่าถ้านำเงินที่มีต้นทุน 15% จำนวน 100 บาทในวันนี้ไปลงทุน ก็จะมีค่าในอนาคตเวลาต่างๆ ดังนี้ (ใช้สมมติฐานว่านำทั้งเงินต้นและดอกผลไปลงทุนต่อในงวดถัดไป)

หน่วย:บาท

t= 0

t= 1

t= 2

t= 3

สูตร

100 (1.15)0

100 (1.15)1

100 (1.15)2

100 (1.15)3

ผลลัพธ์

100

115

132.25

152.09

ด้วยหลักการเดียวกันเราจึงนำ 15% มาใช้ในการคิดลดกระแสเงินสดที่ได้จาการประมาณการซึ่งมีวิธีการคำนวณโดยการนำพจน์ (1+r)n โดยที่ r คือ discount rate และ n คือระยะเวลา (งวด) มาเป็นตัวหาร (เป็นการคิดลดมูลค่าจากอนาคตมาเป็นมูลค่าปัจจุบัน)

t= 0

t= 1

t= 2

t= 3

เงินสดสุทธิ

-100/ (1.15)0

5/(1.15)1

5/(1.15)2

105/(1.15)3

ผลลัพธ์

-100

4.35

3.78

69.04

ปรากฏว่าเมื่อนำกระแสเงินสดทั้งหมดที่คิดลดเป็นมูลค่าปัจจุบันมารวมกัน เราจะได้ -100+4.35+3.78+69.04 = -22.83 บาท ซึ่งขาดทุน แปลว่าไม่ควรทำโครงการนี้ ดังนั้นจะเห็นได้ว่าการไม่คำนึงถึงค่าของเงินตามเวลานั้น จะส่งผลให้เราตัดสินใจในการลงทุนผิดพลาดได้ คราวหน้าเราจะมาต่อกันในเรื่องการวิเคราะห์วิธี IRR ซึ่งเป็นอีกวิธีที่นิยมไม่แพ้ NPV ครับ