“โครงสร้างเงินทุน” คือ สัดส่วน ของเงินทุนระยะยาวของบริษัท ซึ่งประกอบไปด้วย หนี้สิน (ระยะยาว) และ ส่วนของเจ้าของ (หุ้นสามัญ หุ้นบุริมสิทธิ์) ส่วนคำว่า “ที่เหมาะสมนั้น” ก็หมายถึงสัดส่วนที่ทำให้ มูลค่า หรือ ความมั่งคั่ง ของเจ้าของสูงที่สุดนั่นเอง
สัดส่วนในการใช้เงินทุนจาก “หนี้สิน” หรือ “ส่วนของเจ้าของ” ส่งผลต่อความมั่งคั่งของเจ้าของอย่างไรนั้น ก่อนอื่นเราต้องเข้าใจหลักการพื้นฐานดังต่อไปนี้
- เจ้าหนี้ ต้องการอัตราผลตอบแทนที่ต่ำกว่า เจ้าของ (ในขณะเดียวกันก็รับความเสี่ยงต่ำกว่าด้วย เพราะ เจ้าหนี้ มีสิทธิ์เรียกร้องในกระแสเงินสดก่อน เจ้าของ พูดง่ายๆ คือ หลังจากใช้หนี้หมดแล้ว กระแสเงินสดส่วนที่เหลือจึงเป็นของเจ้าของ)
- ผลตอบแทนของเจ้าหนี้ คือ “ดอกเบี้ย” นั้นสามารถนำไปหักเป็นค่าใช้จ่ายในการคำนวณภาษีได้ แต่ผลตอบแทนของเจ้าของ ซึ่งก็คือ “เงินปันผล” ไม่สามารถนำไปหักเป็นค่าใช้จ่ายได้
พิจารณาตัวอย่างต่อไปนี้
สมมติว่า โครงการก่อสร้างมูลค่า 100 ล้านบาท ถ้าสร้างแล้วเสร็จจะมีกำไรขั้นต้น 10 ล้านบาท กรณีที่ 1ถ้าบริษัทผู้รับเหมาไม่ได้มีการกู้เงินมาใช้ในโครงการนี้เลย ก็จะใช้เงินทุนของตนเองในการหมุนเวียนอย่างมากไม่เกิน 50 ล้านบาท เพราะระหว่างที่ก่อสร้างไป ลงทุนไป ก็สามารถเบิกงวดงานนำเงินเข้ามาหมุนเวียนทำโครงการต่อ ในกรณีที่ 2 บริษัทใช้เงินตนเองเพียง 25 ล้านบาท และกู้ธนาคารอีก 25 ล้านบาท โดยมีอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ (MLR => Minimum Loan Rate) อยู่ที่ 6.25%/

จากตัวอย่างข้างต้นจะเห็นได้ว่าถ้ายิ่งก่อหนี้สูงขึ้นก็จะทำให้อัตราผลตอบแทนต่อผู้ถือหุ้นยิ่งสูงขึ้น ซึ่งหลักการนี้เรียกกว่า Financial leverage แต่อย่างไรก็ตามการก่อหนี้สูงขึ้นไม่ได้ส่งผลดีเสมอไป เพราะความเสี่ยงต่างๆ ก็สูงขึ้น อีกทั้งอัตราดอกเบี้ยในการกู้ยืมก็จะสูงขึ้นไปตามสัดส่วนด้วย ดังนั้นการกำหนดโครงสร้างเงินทุนที่เหมาะสมจึงไม่ได้หมายความว่ายิ่งก่อหนี้มากจะทำให้ความมั่งคั่งของเจ้าของสูงสุด ซึ่งรายละเอียดในการกำหนดว่าสัดส่วนที่เหมาะสมจะมีที่มาอย่างไรนั้น ผมจะได้มาสาธยายต่อในโอกาสหน้าครับ
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น