วันอาทิตย์ที่ 15 มีนาคม พ.ศ. 2552

การจัดการโครงสร้างเงินทุน

หนึ่งในกลยุทธ์ที่สำคัญในการเพิ่มมูลค่าของผู้ถือหุ้น นอกเหนือจากกลยุทธ์ทางการตลาดหรือการผลิตนั้นคือการกำหนดโครงสร้างเงินทุนที่เหมาะสม (Optimal Capital Structure) ของบริษัท

         

โครงสร้างเงินทุน คือ สัดส่วน ของเงินทุนระยะยาวของบริษัท ซึ่งประกอบไปด้วย หนี้สิน (ระยะยาว)  และ ส่วนของเจ้าของ (หุ้นสามัญ หุ้นบุริมสิทธิ์) ส่วนคำว่า ที่เหมาะสมนั้น ก็หมายถึงสัดส่วนที่ทำให้ มูลค่า หรือ ความมั่งคั่ง ของเจ้าของสูงที่สุดนั่นเอง

 

สัดส่วนในการใช้เงินทุนจาก หนี้สิน หรือ ส่วนของเจ้าของ ส่งผลต่อความมั่งคั่งของเจ้าของอย่างไรนั้น ก่อนอื่นเราต้องเข้าใจหลักการพื้นฐานดังต่อไปนี้

  • เจ้าหนี้ ต้องการอัตราผลตอบแทนที่ต่ำกว่า เจ้าของ (ในขณะเดียวกันก็รับความเสี่ยงต่ำกว่าด้วย เพราะ เจ้าหนี้ มีสิทธิ์เรียกร้องในกระแสเงินสดก่อน เจ้าของ พูดง่ายๆ คือ หลังจากใช้หนี้หมดแล้ว กระแสเงินสดส่วนที่เหลือจึงเป็นของเจ้าของ)
  • ผลตอบแทนของเจ้าหนี้ คือ ดอกเบี้ย นั้นสามารถนำไปหักเป็นค่าใช้จ่ายในการคำนวณภาษีได้ แต่ผลตอบแทนของเจ้าของ ซึ่งก็คือ เงินปันผล ไม่สามารถนำไปหักเป็นค่าใช้จ่ายได้

 

พิจารณาตัวอย่างต่อไปนี้

 

สมมติว่า โครงการก่อสร้างมูลค่า 100 ล้านบาท ถ้าสร้างแล้วเสร็จจะมีกำไรขั้นต้น 10 ล้านบาท กรณีที่ 1ถ้าบริษัทผู้รับเหมาไม่ได้มีการกู้เงินมาใช้ในโครงการนี้เลย ก็จะใช้เงินทุนของตนเองในการหมุนเวียนอย่างมากไม่เกิน 50 ล้านบาท เพราะระหว่างที่ก่อสร้างไป ลงทุนไป ก็สามารถเบิกงวดงานนำเงินเข้ามาหมุนเวียนทำโครงการต่อ  ในกรณีที่ 2 บริษัทใช้เงินตนเองเพียง 25 ล้านบาท และกู้ธนาคารอีก 25 ล้านบาท โดยมีอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ (MLR => Minimum Loan Rate) อยู่ที่ 6.25%/





จากตัวอย่างข้างต้นจะเห็นได้ว่าถ้ายิ่งก่อหนี้สูงขึ้นก็จะทำให้อัตราผลตอบแทนต่อผู้ถือหุ้นยิ่งสูงขึ้น  ซึ่งหลักการนี้เรียกกว่า Financial leverage แต่อย่างไรก็ตามการก่อหนี้สูงขึ้นไม่ได้ส่งผลดีเสมอไป เพราะความเสี่ยงต่างๆ ก็สูงขึ้น อีกทั้งอัตราดอกเบี้ยในการกู้ยืมก็จะสูงขึ้นไปตามสัดส่วนด้วย ดังนั้นการกำหนดโครงสร้างเงินทุนที่เหมาะสมจึงไม่ได้หมายความว่ายิ่งก่อหนี้มากจะทำให้ความมั่งคั่งของเจ้าของสูงสุด ซึ่งรายละเอียดในการกำหนดว่าสัดส่วนที่เหมาะสมจะมีที่มาอย่างไรนั้น ผมจะได้มาสาธยายต่อในโอกาสหน้าครับ

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น