วันศุกร์ที่ 20 มีนาคม พ.ศ. 2552

Insider Trading

ผมมีบทความอยู่ชิ้นหนึ่งซึ่งเขียนไว้เกือบ 2 ปีที่แล้ว เรื่อง insider trading เป็นรายงานประกอบวิชาความรู้คู่คุณธรรม (RU900) ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของหลักสูตรปริญญาเอก ของสถาบันการศึกษานานาชาติ มหาวิทยาลัยรามคำแหง ซึ่งแหล่งอ้างอิงแหล่งหนึ่งในการทำรายงานนั้นมาจาก MIT Sloan Management Review ซึ่งน่าสนใจมาก จึงขอนำบางส่วนของรายงานนั้นมาเผยแพร่ไว้ ณ ที่นี้ครับ

เมื่อใดที่การค้าหุ้นโดยใช้ข้อมูลภายในเพื่อแสวงหาผลประโยชน์จากการซื้อขายหลักทรัพย์ ถูกกฎหมาย

            เนื้อหาที่ Shell (2001, pp.89-90) เขียนไว้ในบทความมีใจความแปลได้ว่า เมื่อคุณเข้าไปในลิฟต์แล้วบังเอิญได้ยินผู้บริหารสองคนซึ่งทำงานอยู่ที่บริษัทที่ตั้งอยู่ชั้นสูงขึ้นไปคุยกันด้วยเสียงที่เบาและต่ำเพื่อไม่ให้คนอื่นได้ยิน แต่คุณก็ยังจับความได้ว่าบริษัทนั้นกำลังจะถูกซื้อโดยบริษัทยักษ์ใหญ่ในวันรุ่งขึ้นและผู้บริหารกำลังจะได้เงินหลายล้านเหรียญจากสิทธิในการซื้อหุ้น สมมติว่าบริษัทดังกล่าวอยู่ในตลาดหลักทรัพย์ คุณจะรีบวิ่งกลับบ้านแล้วไปซื้อหุ้นของบริษัทดังกล่าวโดยไม่ผิดกฎหมายได้หรือไม่ บทความนี้จะให้ความกระจ่าง

            การที่หน่วยงานของรัฐจะต้องมีการพิสูจน์หลายขั้นตอนว่าก่อนตัดสินว่าบุคคลใดกระทำความผิดที่เกี่ยวข้องกับ Insider trading ซึ่งประกอบไปด้วย (1) จะต้องมีการซื้อขายหลักทรัพย์เกิดขึ้น (2) การซื้อขายนั้นจะมีมูลเหตุมาจากการรับรู้ข้อมูลใด ๆ ที่ยังไม่เป็นที่เปิดเผยแก่สาธารณะชน (3) ผู้ที่ทำการซื้อขายหุ้นหรือผู้ที่แพร่งพรายข้อมูลต้องรู้ว่าข้อมูลที่เขากำลังยุ่งเกี่ยวด้วยนั้นเป็น ของร้อน” (4) บุคคลผู้นั้นได้ทำผิดต่อหน้าที่ในฐานะที่ได้รับความไว้วางใจจากบริษัทในการที่เขาไปทำการซื้อขายหลักทรัพย์โดยใช้ข้อมูลที่เป็นความลับของบริษัท หรือแพร่งพรายความลับของบริษัท

            ดังนั้นจากขั้นตอนดังกล่าวจะเห็นได้ว่าผู้ที่ทราบข้อมูลภายในนั้นจะไม่สามารถไปทำการซื้อขายหุ้นหรือแพร่งพรายข้อมูล อันจะก่อให้เกิดประโยชน์ต่อตนเอง

            คราวนี้นำหลักการข้างต้นมาพิจารณาเรื่องในลิฟต์อีกครั้ง ถ้าคุณไปซื้อหุ้นของบริษัทดังกล่าว นั่นคือจะมีขั้นตอนการซื้อขายเกิดสำเร็จขึ้น แต่เรื่องจะต่างออกไปถ้าคุณถือหุ้นบริษัทนั้นอยู่แล้วและกำลังมีแผนที่จะขาย แต่มาเปลี่ยนใจเมื่อได้ยินบทสนทนาในลิฟต์ กฎหมายไม่ได้กำหนดโทษถ้าคุณพลาดที่จะซื้อหรือตัดสินใจที่จะถือหุ้นต่อไป

            ในข้อสอง ข้อมูลนั้นเป็นข้อมูลที่ยังไม่เป็นที่เปิดเผยแก่สาธารณะชนหรือไม่ แน่นอน ผู้บริหารพูดกันด้วยเสียงที่เบาและต่ำในลิฟต์ว่าจะมีการซื้อบริษัทในวันรุ่งขึ้น เป็นเรื่องที่ยังไม่เป็นที่ทราบทั่วไปแก่สาธารณชน ดังนั้นผู้ลงทุนโดยทั่วไปแล้วจะต้องพิจารณาว่าข้อมูลนี้เป็นข้อมูลสำคัญที่จะมีผลต่อการตัดสินใจซื้อขาย

            ข้อสามคุณรู้หรือเปล่าว่าข้อมูลนั้นเป็นของร้อน แน่นอน คุณย่อมรู้ว่าสิ่งที่ผู้บริหารคุยกันนั้นเป็นเรื่องร้อนและเป็นความลับ

            ในข้อสุดท้ายการที่ผู้บริหารปล่อยให้ข้อมูลนั้นหลุดมาถึงคุณ และคุณก็ได้ไปซื้อขายหุ้นนั้นผิดต่อหน้าที่ของคุณต่อบริษัทนั้นหรือไม่ คุณไม่ใช่พนักงานของบริษัทนั้น คุณจึงไม่ต้องมีความรับผิดชอบใด ๆ ต่อบริษัทดังเช่นที่พนักงานของบริษัทพึงกระทำ และคุณก็ไม่ได้มีสัญญาที่จะปกปิดความลับดังเช่นที่ นักกฎหมาย นักบัญชี หรือที่ปรึกษาของบริษัทจะต้องทำสัญญาดังกล่าวกับบริษัท และสุดท้ายคุณก็ไม่ได้เป็นญาติกับใครในบริษัทนั้น

 

            แล้วผู้บริหารของบริษัทดังกล่าวมีความผิดหรือไม่ เขามีความรับผิดชอบต่อบริษัท แต่เขาไม่ได้เผยแพร่ข้อมูลให้คุณเพื่อผลประโยชน์ใด ๆ ของเขาเอง เขาไม่ได้อะไรเลยจากการที่ไม่ระมัดระวังคำพูด การกระทำของเขาเป็นการไม่รอบคอบใช่หรือไม่ คำตอบคือ ใช่ แต่มันเป็นไปเพื่อประโยชน์ของตัวเขาเองหรือไม่ คำตอบคือ ไม่ สรุปปิดคดี คุณคือผู้ชนะ

            ดังนั้น คุณก็มีสิทธิที่จะซื้อขายหุ้น จริงอยู่ว่าการซื้อขายของคุณอาจจะกระตุ้นให้หน่วยงานของรัฐเข้ามาตรวจสอบ ว่ามีรายการซื้อขายผิดปกติก่อนการประกาศข้อมูลที่สำคัญของบริษัท ซึ่งมันอาจนำมาซึ่งความเสื่อมเสียชื่อเสียงของคุณ แต่คุณก็ไม่ได้ทำผิดกฎหมาย

            คราวนี้สมมติว่าคุณรู้จักกับผู้บริหารหนึ่งในสองคนนั้น และเขาก็ตั้งใจที่จะกระซิบให้คุณได้ยินข้อมูล ในช่วงเวลาหลายปีที่ผ่านมาคุณเคยช่วยเหลือกันในด้านธุรกิจแต่ก็ไม่เคยให้ข้อมูลที่เป็นประโยชน์ต่อการซื้อขายหุ้นเช่นนี้ คราวนี้คุณสามารถซื้อขายหุ้นได้หรือไม่

            ถ้ามองผิวเผิน เหตุการณ์ก็ดูไม่มีอะไร เพื่อนคุณเพียงแต่บอกข้อมูลเป็นของขวัญเพื่อให้คุณได้รับผลประโยชน์ แต่ไม่ใช่ตัวของเขาเอง (ผู้บริหารของบริษัทนั้น) ซึ่งก็เหมือนกับกรณีคนแปลกหน้าในลิฟต์ เขาทำความลับรั่วไหล แต่ถึงแม้เขาจะผิดต่อหน้าที่ในการรักษาความลับของบริษัท แต่เขาก็ไม่ได้ผลประโยชน์ใด ๆ จากการซื้อขายหุ้นของคุณ

            แต่การที่เขาแพร่งพรายข้อมูลให้คุณรู้ เป็นการให้อย่างบริสุทธิ์ใจหรือเปล่า หรือเป็นการหวังสิ่งตอบแทนในภายภาคหน้า เช่น เป็นการช่วยเหลือเกื้อกูลกันทางทั้งในทางส่วนตัวหรือในทางธุรกิจต่อไปในอนาคต คราวนี้เจ้าหน้าที่ของรัฐก็จะสามารถตัดสินได้ว่านี่เป็นกรณีของ Insider trading เพื่อนของคุณได้เปิดเผยความลับเพื่อประโยชน์ของเขาเองในอนาคต ไม่ว่าจะเป็นการตอบแทนทางธุรกิจ หรือจะฝากลูกเข้าโรงเรียน ดังนั้นการผิดต่อหน้าที่ของเขานั้นเป็นไปด้วยความหวังที่จะได้รับผลตอบแทนในอนาคต และนี่เป็นสิ่งที่แตกต่าง

 

            คราวนี้ลองดูในอีกกรณีหนึ่ง สมมติว่าเพื่อนของคุณเป็นกองบรรณาธิการนิตยสารบิสิเนสวีค และกำลังจะจัดอันดับซอฟท์แวร์ที่เป็นนวัตกรรมในฉบับหน้า แล้วซอฟแวร์ของบริษัทเดียวกันนั้นก็ได้รับการจัดให้เป็นอันดับ 1 ในสาย ซึ่งจะทำให้มูลค่าหุ้นของบริษัทนั้นสูงขึ้นอย่างมาก คุณจะสามารถไปซื้อหุ้นของบริษัทนั้นด้วยข้อมูลที่ได้รับมาจากเพื่อนได้หรือไม่

            คำตอบ คือ ไม่ได้ กฎหมายนั้นให้ความสำคัญกับข้อมูลลับที่จะมีผลต่อราคาหุ้นของบริษัท โดยไม่ได้สนใจว่าจะมาจากแหล่งข้อมูลใด ไม่ว่าจะเป็นข้อมูลด้านดีหรือร้าย และไม่ว่าจะมาจากบุคคลภายในบริษัทหรือ บทความทางธุรกิจ หรือ ฝ่ายวิจัยของวอลล์- สตรีท

            เสริมด้วยสถานการณ์พิเศษ 3 สถานการณ์ที่เกี่ยวข้องกับความรู้ในเรื่องกฎหมายที่เกี่ยวกับ Insider trading คือ (1) ข้อมูลความลับใด ๆ ที่เกี่ยวข้องกับการเสนอขอซื้อหุ้น (tender offer) เช่นการเข้าครอบครองโดยปรปักษ์ (hostile takeover) เป็นเรื่องที่ร้อนเกินกว่าที่บุคคลใด ๆ จะอยากเข้าไปข้องเกี่ยว เพราะกฎหมายเข้มงวดมากในเรื่องเกี่ยวกับการเสนอขอซื้อหุ้น (2) ในการที่คุณเป็นพนักงานและได้หุ้นของบริษัทมา จะทำอย่างไรเพื่อหลีกเลี่ยงความเสี่ยงที่จะผิดต่อกฎหมาย Insider trading ในกรณีนี้ คุณสามารถทำได้โดยเสนอแผนการขายหุ้นที่มีกำหนดระยะเวลาแน่นอนให้คณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ทราบ เช่นคุณกำหนดจะขายหุ้นจำนวนเท่า ๆ ทุก ๆ วันจันทร์แรกของเดือน (3) ถ้าคุณเป็นผู้บริหารหรือกรรมการหรือถือหุ้นของบริษัทเกิน 10% ก็มีกฎอยู่ว่า คุณจะต้องซื้อขายหุ้นแต่ละครั้งต้องมีระยะเวลาห่างกันอย่างน้อย 6 เดือน คือห้ามซื้อแล้วขายทันทีต้องรออย่างน้อย 6 เดือนจึงจะขายได้ และในทางกลับกันเมื่อขายหุ้นแล้วห้ามซื้อหุ้นใหม่ ต้องรออย่างน้อย 6 เดือน ซึ่งกฎนี้ไม่สนใจว่าคุณจะรู้ความลับของบริษัทหรือไม่

            การแสวงหากำไรจากข้อมูลภายในนั้นจะทำให้คุณมีปัญหาได้ แต่ก็มีบางกรณีที่ถูกกฎหมาย ดังนั้นหากคุณบังเอิญไปนั่งในบาร์ใกล้กับผู้บริหารระดับสูงที่เผยความลับออกมาโดยไม่ได้ตั้งใจหรืออาจตั้งใจให้เป็นของขวัญกับคุณ คุณก็สามารถรับไว้ได้ถ้าคุณต้องการ แต่ถ้าคุณเลี้ยงเครื่องดื่มเขากลับ นั่นจะกลายเป็นการตอบแทนและทำให้การแพร่งพรายความลับที่ไม่หวังผลกลายเป็นการทำเพื่อหวังผลตอนแทนและเข้าข่าย Insider trading ดังนั้นทางที่ดีหากมีข้อสงสัย ควรปรึกษานักกฎหมาย และที่ดีที่สุดคือไม่ต้องไม่ซื้อขายหุ้น เพราะมันจะนำความยุ่งยากมาสู่คุณในภายหลัง

            บทความดังกล่าวข้างต้น จะเห็นว่าผู้เขียนไม่ได้แนะนำเรื่องของคุณธรรมและศีลธรรม แต่เป็นการป้องกันการทำผิดกฎหมาย ซึ่งการไม่ทำผิดกฎหมายไม่ได้แปลว่าจะไม่ผิดศีลธรรม จากกรณีตัวอย่างคนแปลกหน้าในลิฟต์ที่ยกมาเป็นกรณีแรกข้างต้น หากมองงผิวเผิน อาจดูเหมือนไม่มีใครเสียประโยชน์ จากการที่เรารู้ความลับมาแล้วไปซื้อหุ้น แต่แท้จริงมีผู้เสียประโยชน์ ซึ่งอาจเป็นผู้ขายหุ้นให้เรา เพราะถ้าเราไม่ซื้อเขาอาจจะยังขายหุ้นไม่ออก เมื่อมีข่าวประกาศออกมาเขาก็จะได้รับประโยชน์ หรือในกรณีที่เราซื้อมาแล้วเป็นการซื้อตัดหน้าผู้ซื้อรายอื่น ผู้ที่พลาดโอกาสนั้นอาจไม่สามารถซื้อหุ้นได้ หรือหากซื้อได้อาจเป็นราคาที่สูงขึ้น เพราะเรามีส่วนมาสร้างอุปสงค์ (demand) ให้หุ้นตัวนั้น ซึ่งอาจทำให้ราคาหุ้นสูงขึ้น


แปลจาก  Shell, G. R. (2001, Fall). When is it legal to trade on inside information?. MIT Sloan Management Review43(1), 89-90.

วันอาทิตย์ที่ 15 มีนาคม พ.ศ. 2552

การจัดการโครงสร้างเงินทุน

หนึ่งในกลยุทธ์ที่สำคัญในการเพิ่มมูลค่าของผู้ถือหุ้น นอกเหนือจากกลยุทธ์ทางการตลาดหรือการผลิตนั้นคือการกำหนดโครงสร้างเงินทุนที่เหมาะสม (Optimal Capital Structure) ของบริษัท

         

โครงสร้างเงินทุน คือ สัดส่วน ของเงินทุนระยะยาวของบริษัท ซึ่งประกอบไปด้วย หนี้สิน (ระยะยาว)  และ ส่วนของเจ้าของ (หุ้นสามัญ หุ้นบุริมสิทธิ์) ส่วนคำว่า ที่เหมาะสมนั้น ก็หมายถึงสัดส่วนที่ทำให้ มูลค่า หรือ ความมั่งคั่ง ของเจ้าของสูงที่สุดนั่นเอง

 

สัดส่วนในการใช้เงินทุนจาก หนี้สิน หรือ ส่วนของเจ้าของ ส่งผลต่อความมั่งคั่งของเจ้าของอย่างไรนั้น ก่อนอื่นเราต้องเข้าใจหลักการพื้นฐานดังต่อไปนี้

  • เจ้าหนี้ ต้องการอัตราผลตอบแทนที่ต่ำกว่า เจ้าของ (ในขณะเดียวกันก็รับความเสี่ยงต่ำกว่าด้วย เพราะ เจ้าหนี้ มีสิทธิ์เรียกร้องในกระแสเงินสดก่อน เจ้าของ พูดง่ายๆ คือ หลังจากใช้หนี้หมดแล้ว กระแสเงินสดส่วนที่เหลือจึงเป็นของเจ้าของ)
  • ผลตอบแทนของเจ้าหนี้ คือ ดอกเบี้ย นั้นสามารถนำไปหักเป็นค่าใช้จ่ายในการคำนวณภาษีได้ แต่ผลตอบแทนของเจ้าของ ซึ่งก็คือ เงินปันผล ไม่สามารถนำไปหักเป็นค่าใช้จ่ายได้

 

พิจารณาตัวอย่างต่อไปนี้

 

สมมติว่า โครงการก่อสร้างมูลค่า 100 ล้านบาท ถ้าสร้างแล้วเสร็จจะมีกำไรขั้นต้น 10 ล้านบาท กรณีที่ 1ถ้าบริษัทผู้รับเหมาไม่ได้มีการกู้เงินมาใช้ในโครงการนี้เลย ก็จะใช้เงินทุนของตนเองในการหมุนเวียนอย่างมากไม่เกิน 50 ล้านบาท เพราะระหว่างที่ก่อสร้างไป ลงทุนไป ก็สามารถเบิกงวดงานนำเงินเข้ามาหมุนเวียนทำโครงการต่อ  ในกรณีที่ 2 บริษัทใช้เงินตนเองเพียง 25 ล้านบาท และกู้ธนาคารอีก 25 ล้านบาท โดยมีอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ (MLR => Minimum Loan Rate) อยู่ที่ 6.25%/





จากตัวอย่างข้างต้นจะเห็นได้ว่าถ้ายิ่งก่อหนี้สูงขึ้นก็จะทำให้อัตราผลตอบแทนต่อผู้ถือหุ้นยิ่งสูงขึ้น  ซึ่งหลักการนี้เรียกกว่า Financial leverage แต่อย่างไรก็ตามการก่อหนี้สูงขึ้นไม่ได้ส่งผลดีเสมอไป เพราะความเสี่ยงต่างๆ ก็สูงขึ้น อีกทั้งอัตราดอกเบี้ยในการกู้ยืมก็จะสูงขึ้นไปตามสัดส่วนด้วย ดังนั้นการกำหนดโครงสร้างเงินทุนที่เหมาะสมจึงไม่ได้หมายความว่ายิ่งก่อหนี้มากจะทำให้ความมั่งคั่งของเจ้าของสูงสุด ซึ่งรายละเอียดในการกำหนดว่าสัดส่วนที่เหมาะสมจะมีที่มาอย่างไรนั้น ผมจะได้มาสาธยายต่อในโอกาสหน้าครับ