สำหรับผู้มีเงินได้ไม่ว่าจะเป็นบุคคลธรรมดา หรือ นิติบุคคล (ส่วนมากที่เรารู้จักกันดีคือในรูปบริษัท) ล้วนมีหน้าที่ต้องเสียภาษีอากร ซึ่งภาษีอากร ตามนิยามหมายถึง เงินที่รัฐบังคับจัดเก็บจากบุคคล โดยรัฐไม่ผูกพันที่จะจ่ายผลตอบแทนโดยตรงให้แก่ผู้เสียภาษี แต่รัฐมีหน้าที่ต้องจัดหาสิ่งอำนวยความสะดวกและดูแลทุกข์สุข ของประชาชน
หลายคนอาจไม่เคยได้มีการวางแผนภาษี ทำมาหาได้เท่าใด ก็จ่ายภาษีตามหลักเกณฑ์ไปเท่านั้น ในขณะที่บางราย ทำบัญชี 2 ชุด เพื่อหลบเลี่ยงให้เสียภาษีน้อยที่สุด ซึ่งย่อมไม่เป็นผลดีต่อประเทศชาติ ดังนั้น เพื่อให้เกิดความสมดุลระหว่างประโยชน์ “ตน” กับประโยชน์ “ชน” เราจึงควรให้ความสำคัญกับการวางแผนภาษี ไม่ยิ่งหย่อนไปกว่าการบริหารธุรกิจ
การบริหารภาษีมีเป้าหมายเพื่อให้ “เสียภาษี ได้อย่างถูกต้อง” กล่าวคือ ครบถ้วน ตามหลักเกณฑ์ วิธีการ เงื่อนไขต่างๆ ตามที่กฎหมายกำหนด แต่ในขณะเดียวกันก็เป็นไปเพื่อให้ “เสียภาษีให้น้อยที่สุด” โดยที่ไม่กระทำหลีกเลี่ยงภาษีด้วยวิธีการทุจริต อีกทั้งถ้าสามารถ “ใช้สิทธิประโยชน์ทางภาษีได้สูงสุด” ด้วยแล้ว ถือว่าเป็นการบริหารภาษีที่ก่อให้เกิดทั้งประโยชน์ “ตน” และ ประโยชน์ “ชน”
การบริหารภาษี มิใช่การ “หลีกเลี่ยงภาษีอากร” (ซึ่งผิดกฎหมาย) แต่เป็นไปเพื่อการ “หลบหลีกภาษีอากร” (โดยอาศัยช่องโหว่ที่กฎหมายภาษีอากรเปิดช่องให้กระทำได้) เพื่อให้เกิดประโยชน์สูงสุดในการประกอบธุรกิจ ซึ่งการที่จะสามารถวางแผนภาษีได้นั้นเราจะต้องเข้าใจถึง กฎหมาย ข้อกำหนดในการปฏิบัติการต่างๆ ให้ถ่องแท้เสียก่อน จึงจะสามารถวางแผนภาษีได้โดยไม่เกิดปัญหาตามมาในอนาคต
การบริหารภาษีนั้นมีวิธีการมากมาย จนไม่สามารถกล่าวถึงได้ทั้งหมดในคราวเดียว ดังนั้นจึงขอนำเสนอกลยุทธ์ทำในการให้กำไรลดลง ฐานภาษีต่ำลงที่ควรทราบเบื้องต้นไว้ดังนี้
การใช้สิทธิประโยชน์ในการหักรายจ่ายได้ที่มากกว่าความเป็นจริง เช่น ค่าใช้จ่ายในการฝึกอบรมพัฒนาพนักงาน (พระราชกฤษฎีกาฉบับที่ 437) และค่าจ้างทำวิจัยและพัฒนา (พระราชกฤษฎีกาฉบับที่ 297) ซึ่งนำมาหักได้ 2 เท่าของค่าใช้จ่ายที่เกิดขึ้นจริง (เช่นจ่าย 100 บาท แต่หักได้ 200 บาท)
พิจารณาว่า การเช่าสำนักงานกับการซื้ออาคารของตนเอง อะไรดีกว่ากัน เพราะค่าเช่าหักรายจ่ายได้เต็มจำนวน แต่ค่าเสื่อมราคาหักได้เพียง 5% ต่อปี (เป็นเวลา 20 ปี) เช่นถ้าซื้ออาคาร 10 ล้านบาท หักค่าเสื่อมราคาได้เพียง 5 แสนบาทต่อปี แต่ถ้าค่าเช่าเดือนละ 50,000 บาทหรือปีละ 6 แสนบาท การเช่าย่อมเป็นทางเลือกที่ดีกว่าในมุมมองด้านภาษี (ในกรณีอื่นขึ้นอยู่กับว่าราคาซื้อและค่าเช่าเท่าไร)
การใช้บริการเช่าซื้อ (lease) รถเก๋ง แทนการซื้อเป็นทรัพย์สินของบริษัท เพราะ โดยปกติหากซื้อเป็นสินทรัพย์ จะสามารถหักค่าใช้จ่าย (ในรูปของค่าเสื่อมราคา) ได้ไม่เกิน 1 ล้านบาท (เป็นรายจ่ายปีละ 200,000 บาท เป็นเวลา 5 ปี) แต่ถ้าเป็นการเช่าซื้อ ค่าเช่าสามารถนำมาหักรายจ่ายได้ถึง36,000 บาทต่อเดือน (เป็นรายจ่ายปีละ 432,000 บาท ตลอดระยะเวลาเช่า)
การใช้ค่าใช้จ่ายรับรอง สามารถนำมาหักเป็นค่าใช้จ่ายได้เต็มจำนวน แต่ ต้องมีหลักฐานการอนุมัติ หลักฐานการจ่ายเงิน และระบุชื่อผู้ถูกรับรอง โดยที่ทั้งปีจะไม่เกิน 0.3% ของ ยอดขาย หรือ รายได้ หรือ ทุนจดทะเบียนที่ชำระแล้ว (เลือกใช้ตัวใดตัวหนึ่งที่สูงสุด) แต่ต้องระวังอย่าใช้กับ ลูกจ้าง สมาชิกในครอบครัว และต้องเป็นไปเพื่อก่อประโยชน์ให้กับกิจการ
การซื้อโปรแกรมคอมพิวเตอร์ (เช่น Enterprise Resource Planning ที่นำมาใช้ในการวางแผนทรัพยากรขององค์กรได้มีประสิทธิภาพมากขึ้น) สามารถเร่งหักรายจ่ายได้ภายใน 3ปี เช่นซื้อโปรแกรม 3 แสนบาท สามารถหักเป็นค่าใช้จ่ายได้ปีละ 1 แสนบาท (เดิมต้องทยอยหักถึง 10 ปี)
ลองหาข้อมูลจากแหล่งอื่นๆ เพิ่มเติมด้วยนะครับ ถ้าเรารู้จักวางแผนภาษีอย่างฉลาด ก็จะพัฒนาทั้งชาติและธุรกิจ ไปพร้อมๆ กัน