วันอังคารที่ 10 สิงหาคม พ.ศ. 2553

การวางแผนภาษี

สำหรับผู้มีเงินได้ไม่ว่าจะเป็นบุคคลธรรมดา หรือ นิติบุคคล (ส่วนมากที่เรารู้จักกันดีคือในรูปบริษัท) ล้วนมีหน้าที่ต้องเสียภาษีอากร ซึ่งภาษีอากร ตามนิยามหมายถึง เงินที่รัฐบังคับจัดเก็บจากบุคคล โดยรัฐไม่ผูกพันที่จะจ่ายผลตอบแทนโดยตรงให้แก่ผู้เสียภาษี แต่รัฐมีหน้าที่ต้องจัดหาสิ่งอำนวยความสะดวกและดูแลทุกข์สุข ของประชาชน

หลายคนอาจไม่เคยได้มีการวางแผนภาษี ทำมาหาได้เท่าใด ก็จ่ายภาษีตามหลักเกณฑ์ไปเท่านั้น ในขณะที่บางราย ทำบัญชี 2 ชุด เพื่อหลบเลี่ยงให้เสียภาษีน้อยที่สุด ซึ่งย่อมไม่เป็นผลดีต่อประเทศชาติ ดังนั้น เพื่อให้เกิดความสมดุลระหว่างประโยชน์ตนกับประโยชน์ชนเราจึงควรให้ความสำคัญกับการวางแผนภาษี ไม่ยิ่งหย่อนไปกว่าการบริหารธุรกิจ

การบริหารภาษีมีเป้าหมายเพื่อให้เสียภาษี ได้อย่างถูกต้องกล่าวคือ ครบถ้วน ตามหลักเกณฑ์ วิธีการ เงื่อนไขต่างๆ ตามที่กฎหมายกำหนด แต่ในขณะเดียวกันก็เป็นไปเพื่อให้เสียภาษีให้น้อยที่สุดโดยที่ไม่กระทำหลีกเลี่ยงภาษีด้วยวิธีการทุจริต อีกทั้งถ้าสามารถใช้สิทธิประโยชน์ทางภาษีได้สูงสุดด้วยแล้ว ถือว่าเป็นการบริหารภาษีที่ก่อให้เกิดทั้งประโยชน์ตนและ ประโยชน์ชน

การบริหารภาษี มิใช่การหลีกเลี่ยงภาษีอากร” (ซึ่งผิดกฎหมาย) แต่เป็นไปเพื่อการหลบหลีกภาษีอากร” (โดยอาศัยช่องโหว่ที่กฎหมายภาษีอากรเปิดช่องให้กระทำได้) เพื่อให้เกิดประโยชน์สูงสุดในการประกอบธุรกิจ ซึ่งการที่จะสามารถวางแผนภาษีได้นั้นเราจะต้องเข้าใจถึง กฎหมาย ข้อกำหนดในการปฏิบัติการต่างๆ ให้ถ่องแท้เสียก่อน จึงจะสามารถวางแผนภาษีได้โดยไม่เกิดปัญหาตามมาในอนาคต

การบริหารภาษีนั้นมีวิธีการมากมาย จนไม่สามารถกล่าวถึงได้ทั้งหมดในคราวเดียว ดังนั้นจึงขอนำเสนอกลยุทธ์ทำในการให้กำไรลดลง ฐานภาษีต่ำลงที่ควรทราบเบื้องต้นไว้ดังนี้

การใช้สิทธิประโยชน์ในการหักรายจ่ายได้ที่มากกว่าความเป็นจริง เช่น ค่าใช้จ่ายในการฝึกอบรมพัฒนาพนักงาน (พระราชกฤษฎีกาฉบับที่ 437) และค่าจ้างทำวิจัยและพัฒนา (พระราชกฤษฎีกาฉบับที่ 297) ซึ่งนำมาหักได้ 2 เท่าของค่าใช้จ่ายที่เกิดขึ้นจริง (เช่นจ่าย 100 บาท แต่หักได้ 200 บาท)

พิจารณาว่า การเช่าสำนักงานกับการซื้ออาคารของตนเอง อะไรดีกว่ากัน เพราะค่าเช่าหักรายจ่ายได้เต็มจำนวน แต่ค่าเสื่อมราคาหักได้เพียง 5% ต่อปี (เป็นเวลา 20 ปี) เช่นถ้าซื้ออาคาร 10 ล้านบาท หักค่าเสื่อมราคาได้เพียง 5 แสนบาทต่อปี แต่ถ้าค่าเช่าเดือนละ 50,000 บาทหรือปีละ 6 แสนบาท การเช่าย่อมเป็นทางเลือกที่ดีกว่าในมุมมองด้านภาษี (ในกรณีอื่นขึ้นอยู่กับว่าราคาซื้อและค่าเช่าเท่าไร)

การใช้บริการเช่าซื้อ (lease) รถเก๋ง แทนการซื้อเป็นทรัพย์สินของบริษัท เพราะ โดยปกติหากซื้อเป็นสินทรัพย์ จะสามารถหักค่าใช้จ่าย (ในรูปของค่าเสื่อมราคา) ได้ไม่เกิน 1 ล้านบาท (เป็นรายจ่ายปีละ 200,000 บาท เป็นเวลา 5 ปี) แต่ถ้าเป็นการเช่าซื้อ ค่าเช่าสามารถนำมาหักรายจ่ายได้ถึง36,000 บาทต่อเดือน (เป็นรายจ่ายปีละ 432,000 บาท ตลอดระยะเวลาเช่า)

การใช้ค่าใช้จ่ายรับรอง สามารถนำมาหักเป็นค่าใช้จ่ายได้เต็มจำนวน แต่ ต้องมีหลักฐานการอนุมัติ หลักฐานการจ่ายเงิน และระบุชื่อผู้ถูกรับรอง โดยที่ทั้งปีจะไม่เกิน 0.3% ของ ยอดขาย หรือ รายได้ หรือ ทุนจดทะเบียนที่ชำระแล้ว (เลือกใช้ตัวใดตัวหนึ่งที่สูงสุด) แต่ต้องระวังอย่าใช้กับ ลูกจ้าง สมาชิกในครอบครัว และต้องเป็นไปเพื่อก่อประโยชน์ให้กับกิจการ

การซื้อโปรแกรมคอมพิวเตอร์ (เช่น Enterprise Resource Planning ที่นำมาใช้ในการวางแผนทรัพยากรขององค์กรได้มีประสิทธิภาพมากขึ้น) สามารถเร่งหักรายจ่ายได้ภายใน 3ปี เช่นซื้อโปรแกรม 3 แสนบาท สามารถหักเป็นค่าใช้จ่ายได้ปีละ 1 แสนบาท (เดิมต้องทยอยหักถึง 10 ปี)

ลองหาข้อมูลจากแหล่งอื่นๆ เพิ่มเติมด้วยนะครับ ถ้าเรารู้จักวางแผนภาษีอย่างฉลาด ก็จะพัฒนาทั้งชาติและธุรกิจ ไปพร้อมๆ กัน