เมื่อบุคคลหรือธุรกิจมีการก่อหนี้สิน หน้าที่สำคัญของการเป็นลูกหนี้ ก็คือการใช้หนี้ตามกำหนดเวลา แต่เมื่อเกิดเหตุที่ให้ไม่สามารถชำระหนี้ได้ ไม่ว่าจะเกิดจาก รายรับไม่เป็นไปตามเป้าหมาย ลูกหนี้ของเราผิดนัดชำระหนี้ สินทรัพย์เสียหายหรือเสื่อมมูลค่า เกิดภาวะขาดทุน ซึ่งสาเหตุเหล่านี้ล้วนมีผลกระทบต่อความสามารถในการชำระหนี้ การแก้ไขปัญหามักมีรูปแบบดังต่อไปนี้
ผัดผ่อนการจ่ายชำระหนี้ไม่ว่าจะเป็น การผัดผ่อนกับเจ้าหนี้การค้า (เพื่อนำไปจ่ายค่าแรงหรือเจ้าหนี้เงินกู้ก่อน) หรือการผัดผ่อนโดยตรงกับเจ้าหนี้เงินกู้ => มักเกิดในกรณีที่กระแสเงินสดรับเข้าล่าช้ากว่าที่คาดไม่มาก หรือ ทราบว่ากระแสเงินสดรับในอนาคต จะสามารถชดเชยกับความสูญเสียที่เกิดขึ้นได้
เจรจาขอกู้เงินเพิ่มจากเจ้าหนี้เดิม ด้วยเหตุผลว่าหากไม่ได้เงินกู้ส่วนเพ่ิมนั้น อาจจะส่งผลกระทบต่อความสามารถชำระหนี้ก้อนเดิม => มักเกิดในกรณีที่ใช้วงเงินกู้ยังไม่เต็มหลักประกัน (เช่นหลักประกันถูกตีมูลค่าไว้ 10 ล้านบาท ธนาคารให้วงเงินกู้ 7 ล้านบาท แต่กู้ไว้เพียง 5 ล้านบาท จึงขอกู้เพิ่มได้อีก 2 ล้านบาท) หรือ ถึงแม้เต็มวงเงินแล้วหากธนาคารหรือเจ้าหนี้เงินกู้เห็นความจำเป็น ก็สามารถอนุมัติวงเงินกู้เพิ่มเติมได้ ยกตัวอย่างที่เคยเกิดขึ้นเช่น บริษัทหนึ่ง มีการกู้เงินมาลงทุนในการขยายโรงงาน และลงทุนในเครื่องจักรเพิ่ม แต่ภายหลังจากเพิ่มกำลังการผลิตแล้ว ยอดขายกลับไม่เพิ่มขึ้นดังแผนที่วางไว้ ทำให้บริษัททั้งแบกภาระดอกเบี้ยสูง มีค่าใช้จ่ายดำเนินงานสูงขึ้นและเริ่มขาดสภาพคล่อง ดังนั้น ผู้บริหารของบริษัท จึงเข้าเจรจากับธนาคาร เพื่อขอเพิ่มวงเงินโดยไม่เพิ่มหลักประกัน (เพราะไม่มีให้เพิ่มแล้ว) ธนาคารจึงจำเป็นต้องปล่อยสินเชื่อเพิ่มเติม เพื่อไม่ให้ธุรกิจสะดุดและเกิดหนี้เสีย ซึ่งในกรณีที่ผมนำมาเล่าให้ฟังนี้ เป็นกรณีของลูกหนี้รายใหญ่และมีความสัมพันธ์ที่ดีมากกับธนาคาร ซึ่งไม่ใช่ทุกกิจการจะสามารถทำได้เช่นนี้
กู้ยืมจากแหล่งเงินกู้อื่น เพื่อมาชำระหนี้ที่ครบกำหนด => มักเกิดในกรณีที่ลูกหนี้ไม่อยากผิดนัดชำระหนี้กับกับเจ้าหนี้รายหลัก หรือ ต้องการเงินกู้ระยะสั้นชั่วครั้งชั่วคราวระหว่างรอกระแสเงินสดรับจากการดำเนิน ซึ่งอาจเข้ามาล่าช้ากว่ากำหนด โดยส่วนใหญ่ถ้าหากมีการกู้เงินจากสถาบันการเงินทุกแห่งจนเต็มวงเงินแล้ว ผู้กู้มักจะหันไปกู้หนี้นอกระบบดอกเบี้ยสูงผิดปกติ ซึ่งการกู้ในลักษณะนี้เองจะเป็นการกู้ที่ทำให้ดอกเบี้ยพุ่งสูงขึ้นและมีการทบต้นอย่างรวดเร็ว ดังนั้นจึงควรเป็นทางเลือกที่ควรหลีกเลี่ยง
ผิดนัดชำระหนี้ => เกิดในกรณีที่ไม่สามารถหาเงินสดมาชำระหนี้ได้ทันกำหนดเวลาจริงๆ (ถึงจะข้ามขั้นตอนในการกู้ยืมเงินนอกระบบมา ก็ไม่ผิดกติกาแต่อย่างใด) แต่จะถึงขั้นฟ้องร้องกับธนาคารหรือไม่ ขึ้นอยู่กับการเจรจา แต่ทั้งนี้ ควรแจ้งให้ธนาคารทราบโดยเร็วที่สุด หากเริ่มตระหนักว่าจะไม่สามารถชำระหนี้ได้ตามกำหนด เพื่อไม่ให้เสียความสัมพันธ์โดยเฉพาะในกรณีที่จะต้องมีการเจรจา หรือ ฟ้องร้องกันภายหลัง
จะเห็นได้ว่ามีก่อนที่กิจการใดๆ จะมีหนี้ท่วม จนถึงขั้นผิดนัดชำระหนี้นั้น มักมีพัฒนาการตามลำดับที่แสดงให้เห็น สิ่งสำคัญคือ เมื่อเกิดภาวะหนี้ท่วมขึ้นแล้ว ส่ิงที่สามารถกระทำได้นั้น ควรเร่ิมตั้งแต่การเจรจากับเจ้าหนี้ซึ่งมีทางเลือกหลายอย่างเช่น 1) ขอพักชำระเงินต้นโดยชำระแต่ดอกเบี้ย 2) ขอพักชำระดอกเบี้ยทั้งต้นทั้งดอก 3) ขอให้หยุดการคิดดอกเบี้ยในช่วงเวลาพัก 4) การขอลดอัตราดอกเบี้ย 5) การขยายช่วงเวลาและลดยอดผ่อนชำระต่องวด 6) การขอลดยอดหนี้ (hair cut) 7) การขอแปลงหนี้เป็นทุน (ให้ธนาคารมาถือหุ้นบริษัท แต่ในทางปฏิบัติเป็นไปได้ยาก) ซึ่งทั้งนี้ในแต่ละทางเลือก ต้องมีการจัดทำแผนการชำระเงินประกอบ เพื่อให้เจ้าหนี้มั่นใจว่าหลังจากผ่อนผันแล้ว ลูกหนี้จะสามารถชำระหนี้คืนได้ตามที่สัญญาไว้
นอกจากการเจรจาแล้ว ยังสามารถ การขายสินทรัพย์ที่ไม่จำเป็นออกไป ขายสินค้าลดราคา (fire sales) การหาผู้ร่วมทุนใหม่ และถึงท้ายที่สุดแล้ว หากไม่สามารถจะทางออกได้ เงินทองก็แค่ของนอกกายครับ มีวันล้มก็ต้องมีวันลุก