วันอังคารที่ 30 มีนาคม พ.ศ. 2553

ระวังการใช้เงินกู้ผิดประเภท

คนทำธุรกิจส่วนใหญ่ คุ้นเคยกับคำว่าวงเงินกู้ (Loan) เป็นอย่างดีซึ่ง การจะกู้เงินจากธนาคารได้นั้นกิจการจะต้องมีวัตถุประสงค์ที่ชัดเจน อีกทั้งต้องระบุ วงเงินที่ต้องการใช้ ระยะเวลาจ่ายชำระคืน และที่สำคัญคือต้องมีหลักทรัพย์ค้ำประกันวงเงินกู้ให้กับธนาคาร เช่น ที่ดิน อาคาร เครื่องจักร เป็นต้น

หลายท่านอาจเคยได้ยินคำว่านำเงินกู้ไปใช้ผิดประเภทอยู่บ้าง แต่คำว่าการใช้เงินกู้ผิดประเภทนั้นมีความหมายว่าอย่างไร แล้วเราจะป้องกัน แก้ไขได้อย่างไร มาดูกันครับ

1. การนำเงินกู้ไปใช้ผิดวัตถุประสงค์ ซึ่งตัวอย่างได้แก่ เงินกู้ที่ธนาคารให้มาเพื่อวัตถุประสงค์หนึ่ง เช่น นำไปใช้ซื้อเครื่องจักร อุปกรณ์ ที่ใช้ในการดำเนินงาน แต่กิจการกลับไปใช้ในอีกวัตถุประสงค์หนึ่ง เช่น นำไปซื้อรถประจำตำแหน่ง หรือ จ่ายเป็นโบนัสให้กับผู้บริหาร ซึ่งในการใช้เงินผิดวัตถุประสงค์แบบนี้เกิดขึ้นได้บ่อยๆ มักพบในกิจการที่ไม่ได้มีการควบคุมภายในที่ดีพอ ซึ่งแทนที่จะนำเงินกู้ซึ่งมีต้นทุนไปใช้ในการลงทุนในสินทรัพย์ที่ก่อให้เกิดรายได้ (Performing Assets) กลับนำไปใช้ลงทุนในสินทรัพย์ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ (Non Performing Assets) ดังนั้น นอกจากจะเป็นการเพิ่มต้นทุนให้กับกิจการแล้ว ยังอาจทำให้กิจการผิดนัดชำระหนี้เงินกู้ได้อีกด้วย
2. การนำเงินกู้ไปใช้โดยไม่ได้คำนึงถึงอายุของเงินกู้ และอายุของสินทรัพย์ ซึ่งก่อนอื่นต้องทำความเข้าใจว่าเงินกู้นั้นแบ่งเป็นประเภทระยะสั้น (ไม่เกิน 1ปี) ระยะกลาง (1-5ปี) และระยะยาว (5 ปีขึ้นไป) ซึ่งเงินกู้ซึ่งรูปแบบการให้เงินกู้นั้นมีทั้งแบบ วงเงินกู้ธรรมดามีกำหนดชำระคืน (Term Loans) หรือวงเงินกู้หมุนเวียน (Revolving Credits) แต่สำหรับวงเงินกู้ระยะสั้นมีอีกรูปแบบที่เรารู้จักกันดีคือ วงเงินเบิกเกินบัญชี (OD – Overdraft) ซึ่งมีความยืดหยุ่นกว่าวงเงินกู้ธรรมดาตรงที่วิธีการคิดดอกเบี้ย กล่าวคือ วงเงินกู้แบบธรรมดาจะคิดดอกเบี้ยจากเงินกู้ทั้งก้อนทันทีเมื่อมีการโอนเงินกู้เข้าบัญชีของผู้กู้ จากนั้นเมื่อมีการชำระเงินต้นเข้ามาเป็นงวดๆ การคิดดอกเบี้ยก็จะลดลงตามยอดเงินต้นคงเหลือ (ขึ้นอยู่กับเงื่อนไขว่าจะชำระอย่างไร เฉพาะดอกเบี้ยก่อน หรือ ทั้งต้นทั้งดอกในแต่ละงวด) ในขณะที่วงเงิน OD จะคิดดอกเบี้ยเฉพาะส่วนของเงินต้นส่วนที่เบิกออกมา และเมื่อนำเงินต้นใส่คืนเข้าธนาคารดอกเบี้ยก็หยุด วงเงินส่วนที่ยังไม่เบิกออกมาก็จะยังไม่คิดดอกเบี้ย ซึ่งด้วยความยืดหยุ่นนี้เอง ทำให้อัตราดอกเบี้ยของวงเงินเบิกเกินบัญชีนั้น จะสูงกว่า วงเงินกู้ธรรมดา (ที่มีทั้งระยะสั้นและระยะยาว)

โดยปกติเงินกู้ระยะสั้น ก็ควรนำไปลงทุนระยะสั้นเป็นเงินทุนหมุนเวียน เช่น ค่าวัตถุดิบ ค่าแรง ซึ่งเมื่อจ่าย ไปแล้วจะสร้างรายได้กลับคืนมาในระยะสั้น (น้อยกว่า 1 ปี) ส่วนเงินกู้ระยะยาว ก็นำไปใช้กับสินทรัพย์ ระยะยาวจำพวก เครื่องจักร อุปกรณ์ต่างๆ ที่เป็นปัจจัยการผลิตและสร้างรายได้ในระยะยาว

การใช้เงินกู้โดยไม่ได้คำนึงถึงอายุของเงินกู้เกิดขึ้นได้ในสองกรณีต่อไปนี้

◦ การนำเงินกู้ระยะสั้นไปใช้กับทรัพย์สินระยะยาว

พบเห็นได้บ่อย โดยกิจการประเภทนี้ OD มักจะเต็ม (ติดตัวแดง) อยู่ตลอดเวลา ซึ่งหมายถึงเงินทุนหมุนเวียนเริ่มไม่เพียงพอ เพราะเอา OD ไปใช้ซื้อสินทรัพย์ระยะยาว สาเหตุมักเกิดจาก เดิมเมื่อมีวงเงิน OD เหลืออยู่ เมื่อมีความต้องการซื้อสินทรัพย์ระยะยาวเพิ่ม กลับไม่ไปขอเพิ่มวงเงินกู้ระยะยาว ซึ่งเหตุผลถูกนำมาอ้างเสมอคือใช้ OD สะดวกกว่า ไม่ต้องทำเรื่องใหม่ ข้อเสียที่ตามมาคือกิจการมีโอกาสขาดสภาพคล่อง ผิดนัดชำระหนี้ อีกทั้งมีค่าใช้จ่ายดอกเบี้ยสูงเกินความจำเป็น (เพราะดอกเบี้ย OD สูงกว่าดอกเบี้ยเงินกู้แบบธรรมดา)

◦ การนำเงินกู้ระยะยาวไปใช้กับสินทรัพย์ระยะสั้น

เป็นกรณีที่มีการขอวงเงินกู้ระยะยาวมาแล้วยังไม่มีแผนรองรับการใช้วงเงินเต็มทั้งจำนวน มีเงินสดเหลือจึงนำเงินกู้ระยะยาวมาใช้ลงทุนในสินทรัพย์หมุนเวียน ซึ่งผลก็คือเกิดการบริหารสินทรัพย์หมุนเวียนไม่มีประสิทธิภาพ เพราะไม่มีแรงกดดันในเรื่องของสภาพคล่อง อาจมีการแบกสต๊อกสินค้าคงคลัง หรือ มีลูกหนี้มากเกินความจำเป็น ส่งผลต่อต้นทุนของกิจการทำให้กำไรลดลง

ดังนั้นหากกิจการของท่านยังใช้เงินกู้ผิดประเภทอยู่ ควรรีบเจรจากับธนาคารเพื่อขอปรับโครงสร้างเงินกู้ใหม่ให้เหมาะสมกับความต้องการลงทุนในสินทรัพย์ทั้งระยะสั้นและระยะยาว ซึ่งจะช่วยลดต้นทุน และความเสี่ยงในการผิดนัดชำระหนี้อีกด้วย