ผมได้มีโอกาสไปบรรยายเรื่องการสร้างสรรค์นวัตกรรมให้กับการนิคมอุตสาหกรรม จึงขอนำเนื้อหาบางส่วนมาถ่ายทอดไว้ที่นี้ครับ
- ความสำเร็จในอดีตนั้นมาจากประสิทธิภาพ + ประสิทธิผล
- ประสิทธิภาพ คือ อัตราส่วนระหว่าง input:out หรือกล่าวง่ายๆ คือ การที่ใช้ทรัพยากรน้อยกว่า (เช่น แรงงาน เงินทุน เวลา) แต่ได้ผลลัพธ์เท่าเดิม หรือการใช้ทรัพยาการเท่าเดิม แต่ได้ผลลัพธ์มากขึ้น (ปริมาณ คุณภาพ เวลาสั้นลง)
- ประสิทธิผล คือ การที่สามารถบรรลุเป้าหมายที่ตั้งไว้ รวมไปถึงผลที่เกิดขึ้นจากการบรรลุเป้าหมาย
- ประสิทธิภาพไม่จำเป็นต้องเกิดคู่ กับประสิทธิพลเสมอไป เช่น การทำงานบางอย่างบรรลุวัตถุประสงค์แต่ไม่มีประสิทธิภาพ ซึ่งมีตัวอย่างให้เห็นกันอยู่บ่อยๆ
- การมีประสิทธิภาพแต่ไม่มีประสิทธิผลนั้น ผมยกตัวอย่างถึงภาพยนตร์โฆษณาของรถกระบะทาทา ซีนอน ผมถามผู้เข้าร่วมสัมมนาว่ามีใครเคยเห็นโฆษณาโทรทัศน์บาง เกือบทุกท่านตอบว่าเคย แต่พอถามว่ามีท่านใดบ้างที่เคยเห็นรถกระบะยี่ห้อนี้บนท้องถนน ปรากฏว่าแทบไม่มีผู้ใดเคยเห็น ซึ่งแสดงให้เห็นว่า เจ้าของผลิตภัณฑ์นั้นยิงโฆษณาได้อย่างมีประสิทธิภาพ ทำให้ยี่ห้อของตนเป็นที่รู้จัก แต่ไม่มีประสิทธิผลด้านยอดขาย
- ปัจจุบันประสิทธิภาพ + ประสิทธิผลนั้น ดูจะกลายเป็นเรื่องพื้นฐานที่ทุกคนต้องมีแล้ว ใครไม่มีก็ต้องปรับปรุงตัว แต่เมื่อมีแล้วก็ไม่ได้หมายความว่าจะเป็นผู้ประสบความสำเร็จในการทำธุรกิจ
- ดังนั้นในปัจจุบันและอนาคต ธุรกิจจะต้องแข่งขันกันด้วย ความคิดสร้างสรรค์ และ นวัตกรรม
- ความคิดสร้างสรรค์ นั้นคือ “ความคิด” ส่วน นวัตกรรม นั้นคือ “การกระทำ”อันเป็นผลผลิตมาจากความคิดสร้างสรรค์
- ความคิดสร้างสรรค์นั้น ที่ผ่านการบ่มเพาะอย่างเหมาะสมแล้วจึงเกิดเป็นนวัตกรรมได้
- ความคิดสร้างสรรค์จะเกิดขึ้นได้ในสภาวะแวดล้อมที่เหมาะสม เช่นเดียวกับเมล็ดพันธุ์พืช
- การจะได้ต้นไม้งาม ซึ่งเปรียบได้กับนวัตกรรมนั้น จะต้องมีการเพาะเมล็ดพันธ์จำนวนมากๆ ไว้ก่อน จากนั้นจึงค่อยนำคัดต้นกล้าที่มีหน่วยก้าน รูปทรงดี มาบ่มเพาะดูแลเป็นพิเศษ และท้ายที่สุด อาจไม่ใช่ทุกต้นที่เจริญงอกงามออกมาเป็นต้นไม้ที่สมบูรณ์
- ดังนั้นในการสร้างสรรค์นวัตกรรม ต้องเริ่มจากการสร้างสภาวะแวดล้อมที่เอื้อต่อการ”งอก” ของความคิดสร้างสรรค์ก่อน ซึ่งเริ่มจาก อย่าด่วนตัดสิน อย่าขัด อย่าคันปากอยากพูด เมื่อมีใครเสนอความคิดอะไรใหม่ๆ
- จากนั้นต้องใช้คำถามที่สร้างสรรค์เปรียบเสมือนการ “รดน้ำ” เช่น คุณได้ความคิดนี้มาจากไหน มันเปรียบเทียบได้กับอะไร ไหนลองเล่ารายละเอียดเพิ่มเติมให้ฟังหน่อย ควรเลี่ยงการใช้คำถามปลายปิดเช่น ใช่หรือไม่ และ คำถามที่จำกัดทางเลือก เช่น A หรือ B หรือ C
- ในขั้นตอนระดมความคิด “ปริมาณ” สำคัญกว่า “คุณภาพ” เพราะความคิดใดๆ ก็ตามที่แสดงออกมา อาจเกิดการต่อยอดขึ้นมาเป็นความคิดใหม่ๆ ก็ได้ ทั้งๆ ที่ครั้งแรกอาจฟังแล้วไม่เข้าท่า หรือ ไม่น่าเป็นไปได้
- ดังนั้นผู้เสนอความคิด จงอย่ากลัวเด่น อย่ากลัวเป็นตัวตลก อย่ากลัวถูกมองว่าโง่ แต่ขอให้มองว่าการระดมสมองไม่มีผิดมีถูก ซึ่ง ผมยกตัวอย่างเพลง “หมีแพนด้า” ที่ผู้แต่งนำไปเสนอค่ายเพลงแล้วไม่มีใครเอา เพราะฟังแล้วดูตลก ไม่น่าเป็นไปได้ ผู้แต่งจึงตัดสินใจร้องเอง ต่อมากลายเป็นเพลงที่ดังระเบิดใครๆ ก็รู้จัก
- อีกตัวอย่างหนึ่งผมเอาภาพ George Bush ซึ่งส่องดูกล้องส่องทางไกล โดยที่ปลายอีกด้านหนึ่งยังไม่ได้เปิดฝาครอบเลนส์ออก ซึ่งดูแล้ว stupid ซึ่งทำให้ผู้เข้าร่วมสัมมนาทุกคนอมยิ้มบ้าง หัวเราะบ้าง
- ผมถามว่า ถ้าผมเห็นภาพนี้แล้วจินตนาการถึงกล่องส่องทางไกลกำลังขยายมหาศาลที่ถูกติดตั้งอยู่บนหอรบ ใครจะดูต้องเดินขึ้นไปบนหอ ขึ้นแท่นเหยียบเพื่อไปดู แต่กลับกลายเป็นว่ากล้องนี้สามารถส่งสัญญาณภาพด้วยคลื่นโทรทัศน์มาเข้ากล้องส่องทางไกลขนาดกะทัดรัดแบบที่ Bush ถืออยู่ โดย Bush สามารถควบคุมกล้องขนาดมหึมานั้นด้วยปลายนิ้วผ่านจอขนาดเล็กที่อยู่ในกล้องส่องทางไกลล่ะ => ผู้เข้าร่วมสัมมนาทุกคน อึ้งไปชั่วขณะ !
- ผมจึงชี้ให้เห็นว่า ในขั้นตอนระดมสมองนี้ ไม่ควรจะตัดสินทันทีทันใด ว่าอะไรดี ไม่ดี เป็นไปได้หรือไม่ได้ แต่ต้องพยายามทำให้เมล็ดพันธุ์ความคิดสร้างสรรค์งอกให้ได้มากที่สุดก่อน
- จากนั้นจึงค่อยนำมาคัดโดยดูความเป็นไปได้ ซึ่งก็ต้องไม่ด่วนตัดสินเช่นกัน อีกทั้งต้องไม่ใช้อารมณ์ แต่ใช้คำถามเพื่อหาสมมติฐานที่ซ่อนอยู่ว่าทำไมถึงจะเป็นไปได้ เพราะอะไรถึงเป็นไปไม่ได้
- จากนั้นจึงค่อยนำความคิดสร้างสรรค์ที่ผ่านการกลั่นกรองแล้วมาบ่มเพาะต่อเป็นนวัตกรรม ซึ่งจะว่าไปแล้วก็เปรียบเสมือนโครงการวิจัยของนักวิทยาศาสตร์ ที่เริ่มต้นจากสมมติฐาน (ไอเดีย) จากนั้นต้องมีการขอทุนวิจัย (ทรัพยากรต่างๆ ) จากผู้สนับสนุน (sponsor) เพื่อมาทดลองและพิสูจน์สมมติฐานนั้น และนำความรู้มาต่อยอดใช้ได้จริง
- ดังนั้นความหมายอีกนัยหนึ่งของนวัตกรรมนั้น น่าจะมาจาก Invention + Application หรือ Commercialization กล่าวคือ ประดิษฐ์คิดค้นอะไรขึ้นมาแล้ว จะต้องใช้ประโยชน์ได้ด้วย มิเช่นนั้นก็เป็นได้เพียงสิ่งประดิษฐ์ของนักวิทยาศาสตร์สติเฟื่องซึ่งไม่ได้มีประโยชน์ใดๆ มากนัก
เนื้อหาการบรรยายในครั้งนั้นยังมีประเด็นอีกมากมาย ซึ่งผมจะนำมาเล่าให้ฟังต่อในโอกาสต่อไปครับ
“การทำเรื่องยากด้วยความอุตสาหะ ถือเป็น การอุทิศตน แต่ การทำให้เรื่องยากให้เป็นเรื่องง่าย ถือเป็น นวัตกรรม”