ในการดำเนินธุรกิจใดๆ สิ่งสำคัญที่ผู้บริหารจะต้องตัดสินใจ คือองค์กรควรจะลงทุนในโครงการใด องค์กรอาจมีโอกาสลงทุนในหลายๆ โครงการพร้อมกัน แต่ด้วยทรัพยากรจำกัดนั้น ทำให้ไม่สามารถลงทุนได้ในทุกโครงการ ดังนั้น จึงต้องมี การเลือกลงทุน ในโครงการ ที่ให้ผลตอบแทนมากที่สุด ภายใต้ทรัพยากรที่จำกัด ซึ่งอาจลงทุนได้เพียง 1 โครงการ หรือ มากกว่านั้น ในกรณีที่สามารถเลือกลงทุนได้เพียง 1 โครงการ ถ้าเกิดความผิดพลาด อาจหมายถึง การสูญสลายขององค์กร ดังนั้น การวิเคราะห์โครงการลงทุน จึงถือเป็นกระบวนการที่สำคัญในเชิงกลยุทธ์ ที่ส่งผลต่อ ความอยู่รอด ตลอดจนถึง ความเจริญก้าวหน้าขององค์กร
คำว่า “โครงการลงทุน” ที่กล่าวถึงนี้ มีขอบเขตกว้างขวาง เป็นไปได้ทั้ง โครงการลงทุน ในเทคโนโลยีเครือข่าย ของ บริษัทโทรคมนาคม หรือ โครงการซื้อที่ดินและก่อสร้างอาคาร เพื่ออยู่อาศัยและการพาณิชย์ ของ บริษัทพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ หรือ โครงการซื้อเครื่องจักรเพื่อการผลิต ของ โรงงาน หรือ โครงการแนะนำผลิตภัณฑ์ใหม่ออกสู่ตลาด ของบริษัทจำหน่ายสินค้าอุปโภคบริโภค
ไม่ว่าโครงการลงทุนจะเป็นรูปแบบใดหรือมีขนาดการลงทุนเท่าใดก็ตาม จะต้องมีการวิเคราะห์อย่างถี่ถ้วน ผู้เขียนจึงขอให้นิยามว่า การวิเคราะห์โครงการลงทุน คือ “กระบวนการวิเคราะห์ข้อมูล ซึ่งนำไปสู่การตัดสินใจในการลงทุนในสินทรัพย์ (ไม่ว่าจะเป็นสินทรัพย์ระยะสั้นหรือระยะยาว จับต้องได้หรือจับต้องไม่ได้)ที่มีผลกระทบต่อผลประกอบการขององค์กรในอนาคต” ซึ่งแนวคิดในการวิเคราะห์โครงการลงทุนนั้นเป็นการพิจารณาถึงความคุ้มค่าในทางเศรษฐกิจที่เกิดขึ้น ไม่ว่าจะลงทุนด้วยทรัพยากรใดทั้ง เงินทุน เวลา ปัญญา แรงงาน
วิธีการวิเคราะห์โครงการที่เป็นที่นิยมนั้นมีอยู่หลายวิธีเช่น การพิจารณาจุดคุ้มทุน (Payback Period), มูลค่าปัจจุบันสุทธิ (Net Present Value), อัตราผลตอบแทนภายใน (Internal Rate of Return) เป็นต้น
การพิจารณาจุดคุ้มทุน (Payback Period)
- มักเป็นคำถามแรกสุด เมื่อพิจารณาโครงการใดๆ กล่าวคือ ผู้ลงทุนอยากรู้ว่าภายหลังจากดำเนินโครงการแล้ว กี่ปีจึงจะได้ทุนคืน ยกตัวอย่างเช่น ลงทุน 10 ล้านบาทและคาดการณ์กำไรสุทธิปีละ 3 ล้านบาท แสดงว่าโครงการนี้คืนทุนใน 3 ปี 4 เดือน (คำนวณว่า 4 เดือนได้กำไร 1 ล้านบาท ดังนั้นจะได้ทุนคืนใน 40 เดือน)
- วิธีการนี้มีข้อดีคือ คำนวณได้ง่าย เร็ว โดยส่วนใหญ่ถ้าโครงการมีลักษณะคล้ายๆ กัน นักลงทุนมักจะเลือกโครงการที่มีจุดคุ้มทุนสั้นกว่า เพราะนั่นหมายถึง ความเสี่ยงที่ลดลง มีเงินสดคืนเข้ามาเร็วกว่าสามารถนำเงินมาเพิ่มสภาพคล่องให้กับโครงการ หรือนำไปลงทุนอย่างอื่นต่อได้อีก
- ข้อเสียนั้นก็มีมากเช่นกัน กล่าวคือ
- ไม่ได้คำนึงถึงสมมติฐานที่สำคัญทางการเงินคือ เรื่องของค่าของเงินตามเวลา (Time Value of Money) ยกตัวอย่างง่ายๆ คือ เงิน 1 ล้านบาท ณ วันนี้ ย่อมมีค่าไม่เท่ากับ 1 ล้านบาทในปีหน้า (เนื่องด้วยอัตราดอกเบี้ย และ ราคาสินค้า บริการต่างๆ ที่สูงขึ้น)
- กระแสเงินสดรับมักไม่ได้เกิดขึ้นสม่ำเสมอตลอดระยะเวลาโครงการ อาจมีเรื่องของวงจรธุรกิจ หรือ ฤดูกาลเข้ามาเกี่ยวข้อง
- ไม่ได้คำนึงว่าหลังจากผ่านจุดคุ้มทุนแล้ว จะมีกระแสเงินสดรับเข้ามาอีกมากน้อยเพียงใด
อย่างไรก็ดี วิธีการนี้ก็ยังเป็นที่ยอมรับ แต่มักใช้ประกอบการตัดสินใจควบคู่ไปกับวิธีการอื่นๆ สำหรับการวิเคราะห์โครงการโดยวิธี มูลค่าปัจจุบันสุทธิ (Net Present Value) และ อัตราผลตอบแทนภายใน (Internal Rate of Return) นั้น จะได้นำเสนอรายละเอียดในคราวต่อไปครับ