ดังที่ได้แสดงให้เห็นแล้วว่า การก่อหนี้จะสามารถสร้างความมั่งคั่งให้กับเจ้าของได้ เนื่องจาก ต้นทุนเงินของหนี้ (ดอกเบี้ยเงินกู้) มักจะต่ำกว่าอัตราผลตอบแทนที่เจ้าของต้องการ
นึกถึงตัวอย่างง่ายๆ ถ้าเราลงทุนในธุรกิจหนึ่งอยู่ ซึ่งเรารู้ว่าธุรกิจนี้ดี หรือ กำลังจะไปได้ดี แต่ขณะนี้ต้องการเงินเพื่อนำมาเสริมสภาพคล่อง หรือ เพื่อขยายกิจการ เราจะเลือก กู้ยืม หรือ หาผู้ลงทุนเพื่อร่วมทุน? แน่นอนว่า ถ้าธุรกิจจะดี เราคงไม่อยากได้ผู้ร่วมทุนมา "แชร์" ผลตอบแทนกับเรา แต่เราคงเลือกที่จะกู้ยืมเงินจากเจ้าหนี้ ที่เรียกผลตอบแทนในรูปของดอกเบี้ยแทน
- Wd คือ สัดส่วนเงินทุนจากหนี้สินในเงินลงทุนทั้งหด
- We คือ สัดส่วนเงินทุนจากเจ้าของในเงินลงทุนทั้งหมด
- Wd + Wd = 100%
- rd คืออัตราดอกเบี้ยเงินกู้
- re คืออัตราผลตอบแทนที่เจ้าของต้องการ (แล้วแต่เจ้าของกำหนด เช่น 10%, 12%, 15%)
- T คืออัตราภาษีเช่น 30% (ซึ่งจะเห็นว่าภาษีนี้เองที่จะทำให้ ต้นทุนเงินในส่วนของหนี้นั้นต่ำลง)
จากสมการข้างต้น ถ้าอัตราดอกเบี้ยเงินกู้คงที่ตลอดเวลา ไม่ว่าสัดส่วนของหนี้สินจะเพิ่มขึ้นเป็นเท่าใดก็ตาม จะทำให้อัตราผลตอบแทนจากการลงทุน (ต้นทุนเงิน) ยิ่งต่ำลง ซึ่งจะทำให้ ความมั่งคั่งของเจ้าของยิ่งสูงขึ้น
แต่ถ้า อัตราดอกเบี้ยเงินกู้ขยับสูงขึ้นตามสัดส่วนหนี้สินที่เพิ่มขึ้นแล้ว เราจะต้องทดลองคำนวณว่า ณ สัดส่วนของหนี้สินที่ต่างกันนั้น จะมีดอกเบี้ยเงินกู้เท่าใด (เช่น ถ้ากู้ 20 ใช้ส่วนของเจ้าของ 80 อัตราดอกเบี้ยเงินกู้อยู่ที่ 6% , ถ้ากู้ 30 ใช้ส่วนของเจ้าของ 70อัตราดอกเบี้ยเงินกู้อยู่ที่ 7% , ถ้ากู้ 40 ใช้ส่วนของเจ้าของ 60 อัตราดอกเบี้ยเงินกู้อยู่ที่ 8%) จากนั้นจึงลองแทนค่าต่างๆ นี้ ลงในสมการข้างต้น เพื่อดูว่า ณ สัดส่วนหนี้ และ อัตราดอกเบี้ยเงินกู้ใด จะให้ค่าเฉลี่ยต้นทุนเงินที่ต่ำที่สุด
ถึงจุดนี้ หลายคน เกิดคำถามขึ้นว่า ถ้าหากเจ้าของต้องการอัตราผลตอบแทนสูงๆ แล้วจะทำให้ต้นทุนเงินต่ำได้อย่างไร คำตอบคือ พอได้ครับ ด้วยการก่อหนี้แล้วนำต้นทุนเงินที่ตำ่กว่าของหนี้มาถัวเฉลี่ย แต่ถ้าอัตราผลตอบแทนที่เจ้าของต้องการสูงมากๆ นั้น การก่อหนี้ก็อาจช่วยไม่ได้เหมือนกัน เพราะ ถ้าต้องการผลตอบแทนสูง แสดงว่าเงินนั้นมีต้นทุนสูง ซึ่งก็หมายความว่าต้องนำไปลงทุนในกิจการที่ให้ผลตอบแทนสูงมากๆ (และความเสี่ยงสูงมากขึ้น) ตามมาด้วย
ยกตัวอย่างเช่น ถ้ากิจการหนึ่งให้อัตราผลตอบแทน 12% แต่เจ้าของต้องการอัตราผลตอบแทน 15% จะทำอย่างไร คำตอบคือ เจ้าของก็ต้องใช้เงินตัวเองส่วนหนึ่ง กู้ยืมส่วนหนึ่ง สมมติกู้ 50% ของเงินทุนที่ต้องใช้ทั้งหมดที่อัตราดอกเบี้ย 7% ดังนั้น
อัตราผลตอบแทนถัวเฉลี่ยของเงินทุนก็คือ = [(50% x 7%) (1 - 30%)] + [50% x 15%] = 9.95% ดังนั้นก็สามารถลงทุนในกิจการนี้ได้ เพราะกิจการนี้ให้ผลตอบแทนถึง 12% เมื่อต้นทุนเงินนั้นเพียง 9.95% ก็หมายความว่าสามารถสนองความต้องการของทั้งผู้ลงทุนและเจ้าหนี้
สำหรับแนวคิดเรื่องโครงสร้างเงินทุนนี้ ต้องบอกว่าถึงแม้ในทางทฤษฎีจะสามารถหาคำนวณหาต้นทุนเงินที่ต่ำที่สุดได้ แต่ในทางปฏิบัติ คนทั่วไปอาจไม่ได้ใส่ใจในเรื่องนี้มากนัก เพราะมักมุ่งให้ความสนใจไปในการตลาด การขายมากกว่า ซึ่งก็ไม่แปลก แต่ถ้ามีเวลา ลองหันกลับมามองเรื่องของโครงสร้างต้นทุน ก็จะสามารถช่วยเพิ่มมูลค่าของบริษัทได้ทันที ซึ่งถึงแม้มูลค่าที่เพิ่มขึ้นอาจจะไม่หวือหวานัก (ส่วนใหญ่ไม่เกิน 10%) แต่ก็ดีกว่าปล่อยให้เป็นไปตามธรรมชาติ มิใช่หรือ
ลองไปทบทวนกันดูนะครับ