วันศุกร์ที่ 17 เมษายน พ.ศ. 2552

การจัดการโครงสร้างเงินทุน (2)

ต่อเนื่องจากบทความก่อนหน้านี้ครับ


ดังที่ได้แสดงให้เห็นแล้วว่า การก่อหนี้จะสามารถสร้างความมั่งคั่งให้กับเจ้าของได้ เนื่องจาก ต้นทุนเงินของหนี้ (ดอกเบี้ยเงินกู้) มักจะต่ำกว่าอัตราผลตอบแทนที่เจ้าของต้องการ


นึกถึงตัวอย่างง่ายๆ ถ้าเราลงทุนในธุรกิจหนึ่งอยู่ ซึ่งเรารู้ว่าธุรกิจนี้ดี หรือ กำลังจะไปได้ดี แต่ขณะนี้ต้องการเงินเพื่อนำมาเสริมสภาพคล่อง หรือ เพื่อขยายกิจการ เราจะเลือก กู้ยืม หรือ หาผู้ลงทุนเพื่อร่วมทุน? แน่นอนว่า ถ้าธุรกิจจะดี เราคงไม่อยากได้ผู้ร่วมทุนมา "แชร์" ผลตอบแทนกับเรา แต่เราคงเลือกที่จะกู้ยืมเงินจากเจ้าหนี้ ที่เรียกผลตอบแทนในรูปของดอกเบี้ยแทน


เพราะฉะนั้น ในทางทฤษฏี การก่อหนี้เพื่อทำ Financial Leverage เพื่อสร้างความมั่งคั่งให้กับเจ้าของมากขึ้น จึงเป็นสิ่งที่พึงประสงค์สำหรับทุกธุรกิจ หรือ ด้วยตรรกะเดียวกันนี้ ยิ่งก่อหนี้มากขึ้นเท่าใด ก็จะยิ่งสร้างความมั่งคั่งให้กับเจ้าของมากขึ้นเท่านั้น (ยิ่งถ้าไม่ต้องใช้เงินทุนของตัวเองเลย ก็คือการ "จับเสือมือเปล่า" นั่นเอง) แต่ทั้งหมดนี้ คือข้อเท็จจริงเพียงครึ่งเดียว เพราะต้องไม่ลืมว่า ยิ่งก่อหนี้สูง ยิ่งมีความเสี่ยงเพิ่มขึ้น (จากการที่มีภาระดอกเบี้ยสูงขึ้น นำไปสู่ความเสี่ยงจากการผิดนัดชำระหนี้ และการขาดสภาพคล่อง) ดังนั้น เมื่อสัดส่วนหนี้สูงขึ้น เจ้าหนี้ก็ต้องแบกรับความเสี่ยงมากขึ้น และเพื่อชดเชยกับความเสี่ยงที่เพิ่มขึ้นนั้น เจ้าหนี้ ก็จะต้องเรียกอัตราดอกเบี้ยที่สูงขึ้น ซึ่งแปลว่า การก่อหนี้สูงขึ้น จะไม่ได้สร้างความมั่งคั่งสูงขึ้นอีกต่อไป


พิจารณาต้นทุนของเงินที่นำมาใช้ในกิจการดังนี้


เงินทุนในการดำเนินการ = หนี้สิน + ส่วนของเจ้าของ

และ

อัตราผลตอบแทนที่ต้องการของเงินลงทุน (ต้นทุนเงิน) = อัตราผลตอบแทนถัวเฉลี่ยถ่วงน้ำหนักของ หนี้สิน และ ส่วนของเจ้าของ

หรืออีกนัยหนึ่ง

Weighted Average Cost of Capital (WACC) = (Wd * rd)(1-T) + (We * re)

โดยที่
  • Wd คือ สัดส่วนเงินทุนจากหนี้สินในเงินลงทุนทั้งหด
  • We คือ สัดส่วนเงินทุนจากเจ้าของในเงินลงทุนทั้งหมด
  • Wd + Wd = 100%
  • rd คืออัตราดอกเบี้ยเงินกู้
  • re คืออัตราผลตอบแทนที่เจ้าของต้องการ (แล้วแต่เจ้าของกำหนด เช่น 10%, 12%, 15%)
  • T คืออัตราภาษีเช่น 30% (ซึ่งจะเห็นว่าภาษีนี้เองที่จะทำให้ ต้นทุนเงินในส่วนของหนี้นั้นต่ำลง)

จากสมการข้างต้น ถ้าอัตราดอกเบี้ยเงินกู้คงที่ตลอดเวลา ไม่ว่าสัดส่วนของหนี้สินจะเพิ่มขึ้นเป็นเท่าใดก็ตาม จะทำให้อัตราผลตอบแทนจากการลงทุน (ต้นทุนเงิน) ยิ่งต่ำลง ซึ่งจะทำให้ ความมั่งคั่งของเจ้าของยิ่งสูงขึ้น


แต่ถ้า อัตราดอกเบี้ยเงินกู้ขยับสูงขึ้นตามสัดส่วนหนี้สินที่เพิ่มขึ้นแล้ว เราจะต้องทดลองคำนวณว่า ณ สัดส่วนของหนี้สินที่ต่างกันนั้น จะมีดอกเบี้ยเงินกู้เท่าใด (เช่น ถ้ากู้ 20 ใช้ส่วนของเจ้าของ 80 อัตราดอกเบี้ยเงินกู้อยู่ที่ 6% , ถ้ากู้ 30 ใช้ส่วนของเจ้าของ 70อัตราดอกเบี้ยเงินกู้อยู่ที่ 7% , ถ้ากู้ 40 ใช้ส่วนของเจ้าของ 60 อัตราดอกเบี้ยเงินกู้อยู่ที่ 8%)  จากนั้นจึงลองแทนค่าต่างๆ นี้ ลงในสมการข้างต้น เพื่อดูว่า ณ สัดส่วนหนี้ และ อัตราดอกเบี้ยเงินกู้ใด จะให้ค่าเฉลี่ยต้นทุนเงินที่ต่ำที่สุด

ถึงจุดนี้ หลายคน เกิดคำถามขึ้นว่า ถ้าหากเจ้าของต้องการอัตราผลตอบแทนสูงๆ แล้วจะทำให้ต้นทุนเงินต่ำได้อย่างไร คำตอบคือ พอได้ครับ ด้วยการก่อหนี้แล้วนำต้นทุนเงินที่ตำ่กว่าของหนี้มาถัวเฉลี่ย แต่ถ้าอัตราผลตอบแทนที่เจ้าของต้องการสูงมากๆ นั้น การก่อหนี้ก็อาจช่วยไม่ได้เหมือนกัน เพราะ ถ้าต้องการผลตอบแทนสูง แสดงว่าเงินนั้นมีต้นทุนสูง ซึ่งก็หมายความว่าต้องนำไปลงทุนในกิจการที่ให้ผลตอบแทนสูงมากๆ  (และความเสี่ยงสูงมากขึ้น) ตามมาด้วย  

ยกตัวอย่างเช่น ถ้ากิจการหนึ่งให้อัตราผลตอบแทน 12% แต่เจ้าของต้องการอัตราผลตอบแทน 15% จะทำอย่างไร คำตอบคือ เจ้าของก็ต้องใช้เงินตัวเองส่วนหนึ่ง  กู้ยืมส่วนหนึ่ง สมมติกู้ 50% ของเงินทุนที่ต้องใช้ทั้งหมดที่อัตราดอกเบี้ย 7% ดังนั้น

อัตราผลตอบแทนถัวเฉลี่ยของเงินทุนก็คือ = [(50% x 7%) (1 - 30%)] + [50% x 15%] = 9.95% ดังนั้นก็สามารถลงทุนในกิจการนี้ได้ เพราะกิจการนี้ให้ผลตอบแทนถึง 12% เมื่อต้นทุนเงินนั้นเพียง 9.95% ก็หมายความว่าสามารถสนองความต้องการของทั้งผู้ลงทุนและเจ้าหนี้


สำหรับแนวคิดเรื่องโครงสร้างเงินทุนนี้ ต้องบอกว่าถึงแม้ในทางทฤษฎีจะสามารถหาคำนวณหาต้นทุนเงินที่ต่ำที่สุดได้ แต่ในทางปฏิบัติ คนทั่วไปอาจไม่ได้ใส่ใจในเรื่องนี้มากนัก เพราะมักมุ่งให้ความสนใจไปในการตลาด การขายมากกว่า ซึ่งก็ไม่แปลก แต่ถ้ามีเวลา ลองหันกลับมามองเรื่องของโครงสร้างต้นทุน ก็จะสามารถช่วยเพิ่มมูลค่าของบริษัทได้ทันที ซึ่งถึงแม้มูลค่าที่เพิ่มขึ้นอาจจะไม่หวือหวานัก (ส่วนใหญ่ไม่เกิน 10%) แต่ก็ดีกว่าปล่อยให้เป็นไปตามธรรมชาติ มิใช่หรือ

ลองไปทบทวนกันดูนะครับ